แนวคิด “การเงินที่ทั่วถึงสำหรับทุกคน” หรือ Inclusive Finance for All ไม่ใช่เพียงศัพท์เทคนิคในแวดวงการเงิน แต่คือหัวใจสำคัญของการสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืน มันคือภาพฝันของระบบนิเวศที่ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อขยายกิจการ ฟรีแลนซ์สามารถใช้ศักยภาพของตนต่อยอดความฝัน และทุกคนในสังคมสามารถเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินที่จำเป็นเพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิต ทว่าในความเป็นจริง ประเทศไทยยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ที่คนจำนวนมากยังคงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ก้าวแรกสู่ความทั่วถึง: เปลี่ยนมุมมองเพื่อมองเห็นคนที่ถูกลืม
จากเวทีเสวนา Inclusive Finance for All ในงาน Techsauce Global Summit 2025 ที่ได้รวบรวมผู้นำจากทั้งธนาคาร ฟินเทค และผู้ให้บริการเทคโนโลยี ได้สะท้อนให้เห็นว่าก้าวแรกที่สำคัญที่สุดของการสร้างการเงินที่ทั่วถึง คือการเปลี่ยนมุมมองจากการมองคนกลุ่มนี้เป็นความเสี่ยง ไปสู่การมองเห็นศักยภาพของพวกเขา ดังที่ อิทธินันท์ วัฒน์สุขสันติ, ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจผลิตภัณฑ์สินเชื่อ Ascend Money ได้ระบุว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าคนตัวเล็กไม่มีคุณสมบัติ แต่เป็นเพราะระบบการเงินแบบดั้งเดิมไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อพวกเขา ระบบที่มุ่งเน้นการตรวจสอบเอกสารรายได้ที่ตายตัวหรือประวัติเครดิตในรูปแบบเดิมๆ ทำให้มองไม่เห็นภาพที่แท้จริงของคนกลุ่มใหญ่นี้ ซึ่ง ปัณวรรธน์ อินนุรักษ์ หัวหน้าบริหารความสัมพันธ์และประสบการณ์ลูกค้ารายบุคคล ทีเอ็มบีธนชาต เสริมว่าเปรียบเสมือนการที่ธนาคารเห็นภาพของลูกค้าเพียงแค่ด้านเดียวเท่านั้น
คนกลุ่มนี้ไม่ได้มีแค่ฟรีแลนซ์ คนทำงานอิสระ หรือผู้ประกอบการรายย่อย แต่ยังรวมถึงพนักงานประจำบางส่วนที่อาจมีอุปสรรคในการเข้าถึงบริการทางการเงินเช่นกัน พวกเขาคือกลุ่มคนที่มีศักยภาพ มีวินัย และมีความสามารถในการสร้างรายได้ แต่กลับถูกปฏิเสธโอกาสเพียงเพราะไม่มีเอกสารในรูปแบบที่สถาบันการเงินคุ้นเคย
ภาพของปัญหานี้สะท้อนชัดเจนที่สุดผ่านเรื่องเล่าของ ธีร์ ฉายากุล, หัวหน้าฝ่ายสินเชื่อ (ประเทศไทย) Bettr ที่ได้ยกตัวอย่างธุรกิจรับซื้อของเก่าที่ประสบความสำเร็จและดำเนินกิจการมานานกว่า 30 ปี ธุรกิจนี้ต้องการเงินทุนหมุนเวียนราววันละหนึ่งล้านบาทเพื่อจ่ายให้คนเก็บของเก่าได้ทันที แต่กลับต้องรอเครดิตเทอมนานถึง 15 วันกว่าจะได้รับเงินจากคู่ค้า เมื่อพยายามขอสินเชื่อจากธนาคารก็ถูกปฏิเสธ เพราะระบบธนาคารแบบดั้งเดิมไม่ได้ออกแบบมาให้ยอมรับสินทรัพย์อย่างลูกหนี้การค้า (Account Receivable) เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน
ผลลัพธ์ที่ตามมาคือธุรกิจที่แข็งแรงและต้องการเติบโต กลับต้องหันไปพึ่งพาเงินกู้นอกระบบเพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่อง และสูญเสียโอกาสในการขยายกิจการไปอย่างน่าเสียดาย นี่คือภาพสะท้อนของปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่การถูกมองข้ามไม่ได้ปิดกั้นแค่โอกาสของปัจเจกบุคคล แต่ยังเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม
เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาทลายกำแพงทางการเงิน
เพื่อทลายกำแพงและแก้ปัญหาการมองไม่เห็นนี้ เทคโนโลยีได้เข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญที่สร้างการเปลี่ยนแปลงผ่าน 3 เทรนด์หลักที่ทรงพลัง
เทรนด์แรก คือการใช้ข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) ซึ่งเป็นแว่นตาใหม่ที่ช่วยให้มองเห็นภาพรวมของลูกค้าได้ชัดเจนขึ้น ธีร์อธิบายว่านี่คือการนำข้อมูลในชีวิตประจำวันที่ระบบธนาคารเดิมอาจมองว่าไม่มีความหมาย เช่น ข้อมูลการเดินทาง ข้อมูลการใช้อุปกรณ์ดิจิทัล หรือประวัติการทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ มาใช้วิเคราะห์ เขายกตัวอย่างกลุ่มผู้ขับขี่ไรเดอร์ในประเทศจีนนับสิบล้านคนที่ไม่เคยเข้าถึงสินเชื่อได้เพราะไม่มีเงินเดือนประจำ แต่เมื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ด้วยโมเดลที่ทันสมัย ก็สามารถปลดล็อกให้คนกลุ่มนี้เข้าถึงเครดิตได้สำเร็จ
ข้อมูลเหล่านี้จะกลายเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับเทรนด์ที่สอง นั่นคือปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI-Driven Personalization ที่เข้ามาปฏิวัติแนวคิดการเงินแบบ “One-Size-Fits-All” ให้หมดไป อิทธินันท์ชี้ว่า AI ทำให้สามารถสร้างผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ที่เฉพาะบุคคลขั้นสุด (Hyper-personalization) ได้ ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ การเดินทางของลูกค้า ไปจนถึงการให้คะแนนความเสี่ยงที่แม่นยำขึ้น เพื่อมอบผลิตภัณฑ์ที่ใช่ ให้กับลูกค้าที่ใช่ ในเวลาที่เหมาะสมที่สุด
และเทรนด์สุดท้ายคือช่องทางการเข้าถึงที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ผ่านสินเชื่อฝังตัว (Embedded Finance) และธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) เราไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่สาขาธนาคารอีกต่อไป แต่บริการทางการเงินจะเข้ามาหาเราเอง ถูกฝังอยู่ในแอปพลิเคชันที่เราใช้งานทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นแอปเรียกรถ สั่งอาหาร หรือซื้อของออนไลน์ ซึ่งการมาถึงของธนาคารไร้สาขาที่มีต้นทุนการดำเนินงานต่ำกว่าธนาคารแบบดั้งเดิมอย่างมีนัยสำคัญ จะยิ่งเข้ามาเร่งการเปลี่ยนแปลงนี้ให้เร็วขึ้น และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายกว่าแค่สินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นเงินฝาก การลงทุน หรือประกัน ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คนทุกกลุ่มอย่างแท้จริง
Humanized Digital: เมื่อเทคโนโลยีต้องมีหัวใจ
เมื่อเรามีเครื่องมือทางเทคโนโลยีที่ทรงพลังแล้ว คำถามต่อมาคือเราจะใช้มันอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสร้างความยั่งยืนที่แท้จริง คำตอบอยู่ที่การผสานประสิทธิภาพของดิจิทัลเข้ากับความเข้าอกเข้าใจในความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นแนวคิด Humanized Digital Banking ที่ปัณวรรธน์ได้นำเสนอ เขาอธิบายว่านี่คือการเดินทางสองส่วน ส่วนแรกคือดิจิทัลที่ทุกคนรู้จัก แต่ส่วนที่สำคัญกว่าคือ Humanized ที่หมายถึงการเข้าใจความต้องการและ Pain Point ของลูกค้าอย่างแท้จริง เพื่อมอบโซลูชันที่ตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงินของพวกเขาได้
เขายกตัวอย่างที่ชัดเจนถึงกรณีของลูกค้าท่านหนึ่งที่เข้ามาในแอปพลิเคชันเพื่อขอสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่ม ซึ่งอาจนำไปสู่ภาระหนี้เกินตัว ระบบดิจิทัลของธนาคารได้วิเคราะห์ข้อมูลและตรวจพบว่าลูกค้ามีการชำระค่าสาธารณูปโภคอย่างสม่ำเสมอจึงน่าจะมีบ้านเป็นของตนเอง และส่งสัญญาณนี้ไปยังเจ้าหน้าที่ แต่จุดเปลี่ยนที่สำคัญอยู่ตรงนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับไป เขาไม่ได้เริ่มต้นด้วยการเสนอขายผลิตภัณฑ์ แต่เริ่มต้นด้วยคำถามที่แสดงความเข้าอกเข้าใจว่าลูกค้ากำลังมีปัญหาอะไรอยู่ การเปลี่ยนบทสนทนาจากการขายไปสู่การแก้ปัญหา ทำให้ธนาคารสามารถเสนอทางออกที่ดีกว่า นั่นคือการรวบหนี้โดยใช้บ้านเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งช่วยลดภาระดอกเบี้ยของลูกค้าจากที่เคยสูงกว่าร้อยละ 20 ลงมาเหลือไม่ถึงร้อยละ 10 นี่คือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะธนาคารมีดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดในตลาด แต่เพราะธนาคารเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง
ยิ่งไปกว่านั้น แนวคิดนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่คือการวางรากฐานการเงินที่ดีให้ลูกค้าในระยะยาว โดยเริ่มต้นจากการสร้างวินัยการออมและการใช้จ่ายอย่างมีสติ เมื่อลูกค้ามีพฤติกรรมทางการเงินที่ดีแล้ว ธนาคารจึงจะสามารถเสนอการกู้ยืมที่ดีต่อสุขภาพเพื่อเป้าหมายในชีวิต เช่น สินเชื่อบ้านหรือรถยนต์ ไปจนถึงการต่อยอดความมั่งคั่งผ่านการลงทุน และการให้ความคุ้มครองด้วยประกันในวันที่ไม่คาดฝัน ทั้งหมดนี้คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดูแลลูกค้าตลอดเส้นทางชีวิตทางการเงิน ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการเงินที่ทั่วถึง
จากแนวคิดสู่ความจริง: พลังแห่งความร่วมมือของทั้งระบบนิเวศ
ท้ายที่สุด การจะทำให้ภาพฝันของการเงินที่ทั่วถึงสำหรับทุกคนกลายเป็นความจริงในระดับประเทศได้นั้น ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากผู้เล่นเพียงรายใดรายหนึ่ง ดังที่ธีร์กล่าวไว้ว่า ปัญหานี้ใหญ่เกินกว่าที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งจะแก้ไขได้เพียงลำพัง ดังนั้นคำตอบจึงอยู่ที่การร่วมมือกันของทั้งระบบนิเวศ ซึ่งเป็นการผนึกกำลังที่แต่ละฝ่ายนำจุดแข็งของตนเองมาประกอบกัน
ธนาคารนำมาซึ่งความน่าเชื่อถือ ขนาดของฐานลูกค้า และโครงสร้างที่แข็งแกร่ง ฟินเทคนำมาซึ่งความเร็ว ความคล่องตัว และนวัตกรรมที่ตอบสนองผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่ผู้ให้บริการเทคโนโลยีนำมาซึ่งแพลตฟอร์มระดับโลกและองค์ความรู้ในการจัดการข้อมูลที่ซับซ้อน
ปัณวรรธน์ได้ยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของความร่วมมือที่เกิดขึ้นจริง ผ่านแคมเปญตรวจสุขภาพทางการเงิน ที่ธนาคารไม่สามารถเห็นภาพรวมของลูกค้าได้หากทำเพียงลำพัง แต่เมื่อร่วมมือกับฟินเทคที่มีความเร็วในการสร้างเครื่องมือวินิจฉัย ธนาคารจึงสามารถเข้ามาเติมเต็มในส่วนที่ฟินเทคไม่มี นั่นคือทีมที่ปรึกษาทางการเงินที่มีประสบการณ์ สามารถให้คำแนะนำและมอบเครื่องมือทางการเงินที่หลากหลายเพื่อแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้จริง โดยเฉพาะการนำทีมงานที่เคยผ่านประสบการณ์การให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่ประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนักมาแล้ว มาทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำแนะนำ สิ่งนี้คือการนำจิ๊กซอว์ของแต่ละฝ่ายมาเติมเต็มในส่วนที่อีกฝ่ายขาดไปอย่างแท้จริง
เพื่อให้ความร่วมมือนี้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด อิทธินันท์เน้นย้ำว่าทุกฝ่ายจำเป็นต้องมีเป้าหมายร่วมกัน นั่นคือการยึดเอาประโยชน์ของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และต้องมีกรอบการทำงานและมาตรฐานร่วมกันที่ชัดเจน เพื่อให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่นและสร้างผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
อนาคตของการเงินไทยจึงเป็นการเดินทางที่น่าตื่นเต้น ที่ซึ่งเทคโนโลยีและหัวใจของการบริการต้องเดินไปคู่กัน เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจที่ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และทุกคนสามารถเข้าถึงโอกาสเพื่อสร้างชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างเท่าเทียม
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ปลดล็อกอนาคตไทยจาก ‘งานวิจัยขึ้นหิ้ง’ สู่เศรษฐกิจแสนล้านด้วย AI และ ‘ลายแทงจีโนม’
‘SaaS’ โอกาส ความท้าทาย และเส้นทางโตของสตาร์ตอัพ