เรื่องราวความสำเร็จของสตาร์ตอัพมากมายมักเริ่มต้นจากความคิดที่ยิ่งใหญ่ แต่สำหรับ FlowAccount การเดินทางตลอดทศวรรษของพวกเขาเริ่มต้นจากความ ‘เจ็บปวด’ ที่เรียบง่ายและจริงแท้ที่สุดของผู้ประกอบการคนหนึ่ง ที่ต้องสวมหมวกหลายใบในแต่ละวัน
จุดเริ่มต้น: เมื่อเจ้าของธุรกิจแก้ปัญหาให้ตัวเอง
ย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ภูมิทัศน์ของผู้ประกอบการรายย่อยในไทยนั้นเต็มไปด้วยความท้าทายและข้อจำกัด ซอฟต์แวร์บัญชีส่วนใหญ่เป็นโปรแกรมบนเดสก์ท็อปที่ซับซ้อน มีราคาสูงถึง 20,000-30,000 บาท และที่สำคัญ คือถูกออกแบบมาเพื่อนักบัญชีมืออาชีพ ทางเลือกอื่นคือการใช้ Excel ที่เสี่ยงต่อความผิดพลาด หรือการจมอยู่กับเอกสารกองโต ในขณะที่โซลูชันจากต่างประเทศก็ไม่ตอบโจทย์บริบทของไทย ทั้งเรื่องภาษีหัก ณ ที่จ่าย หรือรูปแบบใบกำกับภาษีที่ไม่คุ้นเคย
ณ ใจกลางของความวุ่นวายนั้น มีชายคนหนึ่งชื่อ กฤษฎา ชุตินธร เขาไม่ได้อยู่ในฐานะนักเทคโนโลยีผู้มองการณ์ไกล แต่เป็นเจ้าของกิจการ SME เล็ก ๆ ที่เรียนจบด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ จากวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล เขาเคยผ่านการทำธุรกิจนำเข้าสินค้าจากจีน และเปิดบริษัทสื่อโฆษณากับพี่ชาย ประสบการณ์ตรงเหล่านี้ทำให้เขาต้องสวมบทบาทตั้งแต่ฝ่ายขาย, การตลาด ไปจนถึงการปิดท้ายวันอันเหนื่อยล้าด้วยงานบัญชี
“ตอนเริ่มต้นกิจการเอง ผมต้องทำทุกอย่าง” กฤษฎาเล่าถึงจุดเริ่มต้น “วันหนึ่งเป็นฝ่ายขาย อีกวันเป็นฝ่ายการตลาด แล้วก็ยังต้องมาเป็นฝ่ายบัญชีด้วย ซึ่งเราเข้าใจดีว่าความวุ่นวายนี้มีมูลค่ามหาศาลสำหรับคนทำธุรกิจเล็ก ๆ เพราะมันคือเวลาที่ควรจะเอาไปสร้างรายได้”
ความเจ็บปวดนี้เป็นเรื่องจริงที่จับต้องได้ การจะจ้างนักบัญชีเก่ง ๆ ที่มีเงินเดือน 30,000-40,000 บาทขึ้นไป ก็เป็นภาระที่หนักเกินไปสำหรับธุรกิจที่เพิ่งตั้งไข่ สุดท้ายเขาจึงต้องลงมือทำเอง ซึ่งมักเกิดข้อผิดพลาดและขาดความต่อเนื่อง
ความรู้สึกอึดอัดและ Pain Point จากประสบการณ์ตรงนั้นเอง ได้กลายเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นดี เมื่อเขาพยายามมองหาเครื่องมือจากต่างประเทศมาช่วยแต่ไม่สำเร็จ เขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นมาสร้างโซลูชันเพื่อแก้ปัญหาของตัวเอง และนั่นคือจุดกำเนิดของ FlowAccount ในปี 2557 โดยร่วมกับพี่ชาย ดนัย ชุตินธร และเพื่อนสนิทสมัยมหาวิทยาลัย วรวิช ศรีคุรุวาฬ ซึ่งทั้งสามคนต่างก็เคยเป็นเจ้าของธุรกิจและเข้าใจปัญหานี้อย่างลึกซึ้ง
เปลี่ยนเรื่องบัญชีให้ง่ายเหมือน‘Flow’
โจทย์แรกของกฤษฎาไม่ใช่การสร้างโปรแกรมบัญชีที่ซับซ้อน แต่คือการสร้างเครื่องมือที่ ‘เจ้าของใช้เองได้’ แม้ไม่มีพื้นฐานความรู้ด้านบัญชีเลยก็ตาม FlowAccount จึงถูกออกแบบมาในรูปแบบ Software as a Service (SaaS) ที่ใช้งานง่ายผ่านระบบออนไลน์ 100%
นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทลายกำแพงของผู้ประกอบการ โมเดล SaaS ได้เปลี่ยนรูปแบบการเข้าถึงซอฟต์แวร์ จากเดิมที่ต้องลงทุนซื้อขาดด้วยเงินก้อนโต มาเป็นการจ่ายค่าบริการรายเดือนหรือรายปีในราคาที่เข้าถึงได้ ทำให้ SME ที่มีเงินทุนจำกัดสามารถใช้เครื่องมือระดับมืออาชีพได้โดยไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงทางการเงินสูง
นอกจากนี้ ความที่เป็นระบบคลาวด์ยังหมายถึงความยืดหยุ่น ผู้ใช้งานสามารถทำงานได้จากทุกที่ ทุกเวลา ไม่ว่าจะผ่านคอมพิวเตอร์หรือแอปพลิเคชันบนมือถือ และที่สำคัญที่สุดคือ ซอฟต์แวร์จะถูกพัฒนาและอัปเดตอยู่เสมอ ผู้ใช้งานจ่ายเท่าเดิม แต่จะได้ใช้ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยอัตโนมัติ
“เราเชื่อว่าถ้าเจ้าของทำเอง แล้วตัวเลขผ่านตา มันก็เป็นการบริหารโดยการเอาตัวเองไปทำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีและสร้างวินัยให้กับกิจการ”
แนวคิดนี้ได้ผลเกินคาด มันไม่ได้แค่ช่วยให้ผู้ประกอบการเปิดบิล, จัดการรายรับ-รายจ่ายได้สะดวกขึ้น แต่ยังมอบสิ่งที่ล้ำค่ากว่านั้น คือ ‘ความเข้าใจ’ ในสุขภาพทางการเงินของธุรกิจตัวเองอย่างแท้จริง ดังเช่นเรื่องราวสุดประทับใจของลูกค้าเจ้าของบริษัททัวร์รายหนึ่งที่กฤษฎาเล่าให้ฟัง
“เขาบอกว่า ตั้งแต่พี่ทำงานมาเป็น 10 ปี พี่ไม่เคยรู้เลยว่าพี่มีรายได้เท่าไหร่ มีกำไรเท่าไหร่ จนพี่มาใช้ระบบ FlowAccount แล้วเริ่มจดเอง ตอนนี้พี่รู้แล้ว… มันเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เราอยากพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เจ้าของใช้เองได้ต่อไป”
เพียง 6 เดือนหลังการพัฒนา พวกเขาเปิดตัวเวอร์ชันเบต้าในเดือนมกราคม 2558 และได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้น โดยมีผู้ลงทะเบียนใช้งานกว่า 3,000 รายอย่างรวดเร็ว จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงเมื่อพวกเขาคว้าแชมป์บนเวที AIS The StartUp 2015 กฤษฎายอมรับว่าเขาประหลาดใจที่ชนะ เพราะ
“เรื่องบัญชีไม่ใช่เรื่องเซ็กซี่” แต่ชัยชนะครั้งนี้ได้พิสูจน์ว่า การแก้ปัญหาพื้นฐานที่จำเป็น คือแนวคิดที่มีคุณค่า และมันได้เปิดประตูให้พวกเขาได้พบกับนักลงทุนรายแรกๆ ซึ่งนำไปสู่การระดมทุนครั้งสำคัญในเวลาต่อมา
ไม่ใช่แค่ซอฟต์แวร์ แต่คือ ‘ระบบนิเวศ’ ที่โตไปด้วยกัน
ตลอด 10 ปี FlowAccount ไม่เคยหยุดพัฒนา จากโปรแกรมเปิดบิลธรรมดา ได้ขยายสู่การเป็น ‘ระบบปฏิบัติการหลังบ้าน’ ที่ครบวงจร ทั้งระบบบัญชี (FlowAccount), เงินเดือน (FlowPayroll), ระบบจัดการหน้าร้านบนมือถือ (MobilePOS), ไปจนถึงฟีเจอร์ AutoKey ที่นำ AI และเทคโนโลยี OCR มาช่วยสแกนบิลและดึงข้อมูลลงบัญชีให้อัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดข้อผิดพลาดและประหยัดเวลาได้อย่างมหาศาล
แต่กลยุทธ์ที่ทำให้ FlowAccount แข็งแกร่งและแตกต่าง คือการสร้าง ‘Ecosystem’ ที่ไม่ได้มีแค่เทคโนโลยี แต่มี ‘คน’ เป็นหัวใจ
“ซอฟต์แวร์อย่างเดียวอาจจะทำได้ไม่หมดทุกอย่าง” กฤษฎาอธิบาย “เราจึงมีสำนักงานบัญชีที่เป็นพาร์ทเนอร์ทั่วประเทศกว่า 5,000 ราย เข้ามาทำงานบนข้อมูลเดียวกัน ทำให้ผู้ประกอบการทำงานได้ครบจบในที่เดียว”
ล่าสุด ความมุ่งมั่นในการสร้างชุมชนได้ปรากฏชัดผ่านการจัดงาน SaaS Connect Thailand 2025 เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดย FlowAccount ได้ร่วมมือกับ Katalyst เพื่อรวบรวมผู้คนในวงการ SaaS ของไทยมาแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์
งานนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสัมมนาทั่วไป แต่เป็นเวทีที่ถกกันถึงกลยุทธ์การเติบโต การขยายสู่ตลาดโลก และการสร้างธุรกิจให้ยั่งยืน การเป็นเจ้าภาพจัดงานสำคัญเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของ FlowAccount ที่ก้าวข้ามจากการเป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ สู่การเป็นผู้นำและศูนย์กลางที่ช่วยผลักดันให้ระบบนิเวศ SaaS ของไทยแข็งแกร่งและเติบโตไปพร้อมกัน
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ทั้ง Shopee, Lazada และธนาคารชั้นนำอย่างธนาคารกสิกรไทย ทำให้ FlowAccount กลายเป็นศูนย์กลางข้อมูลทางการเงิน เปรียบเสมือนระบบประสาทของธุรกิจที่ขาดไม่ได้ สิ่งนี้สร้างความผูกพัน (Stickiness) ที่ทำให้ผู้ใช้งานไม่ได้มองว่านี่เป็นแค่โปรแกรม แต่เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจที่แยกจากกันไม่ได้ นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับการ ให้ความรู้ผ่านการจัดอบรม สัมมนา และสร้างคอมมูนิตี้ เพื่อปูพื้นฐานและสร้างวินัยทางการเงินที่ดีให้ผู้ประกอบการ เป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ธุรกิจเติบโตไปพร้อม ๆ กัน
เส้นทาง 10 ปีที่ต้อง ‘อึดถึกทน’
แม้ภาพที่ออกมาจะดูสวยงาม แต่กฤษฎายอมรับว่าการเดินทางตลอด 10 ปีไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ การเปลี่ยนผ่านจาก SME สู่สตาร์ตอัพที่มีทีมงานร้อยกว่าคน ต้องผ่านการลองผิดลองถูก โดยเฉพาะความท้าทายในการสร้างทีมบริหารที่แข็งแกร่ง
“การสร้างทีมงานที่แข็งแรง พูดง่ายแต่ทำยากมาก” เขาสะท้อนบทเรียน “เคล็ดลับที่สำคัญที่สุดคือการหาทีมงานที่สนใจในสิ่งที่เราทำ มี Vision เดียวกัน เพราะเมื่อทำงานด้วยกันแล้วสนุก มันก็จะมีกำลังใจวิ่งไปในทิศทางเดียวกัน”
การเดินทางของ FlowAccount เปรียบเสมือนการวิ่งมาราธอนที่ต้องอาศัยความอดทนและความเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำอย่างแรงกล้า ซึ่งสิ่งนี้เองที่ทำให้พวกเขาสามารถระดมทุนจากนักลงทุนชั้นนำได้หลายต่อหลายครั้ง ตั้งแต่ Beacon Venture Capital ในรอบ Pre-Series A มูลค่า 1.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปี 2560 จนถึงรอบล่าสุดในปี 2564 ที่ได้เงินทุน Series A มูลค่า 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐจาก Sequoia Capital India กองทุนระดับโลก ซึ่งเป็นเครื่องการันตีถึงศักยภาพและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน
การได้รับเงินทุนจาก Sequoia ไม่ใช่แค่การได้เงิน แต่คือ “ตราประทับ” ที่ยืนยันว่าสตาร์ตอัพไทยรายนี้มีศักยภาพในระดับสากล
กฤษฎามองว่าคู่แข่งที่แท้จริงไม่ใช่ซอฟต์แวร์รายอื่น แต่คือความคุ้นชินเดิม ๆ ของผู้ประกอบการ “มันคล้าย ๆ กับรถไฟฟ้าครับ มาแรง แต่เอาจริง ๆ ทุกคนก็ยังขับรถน้ำมันอยู่ คนรุ่นใหม่จะเริ่มใช้ระบบออนไลน์เลย แต่คนที่ใช้ระบบออฟไลน์มานานก็ยังไม่ค่อยเปลี่ยน เรายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมหาศาลในตลาดซอฟต์แวร์สำหรับ SME ที่มีมูลค่ากว่า 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในประเทศไทย”
สู่เป้าหมาย ‘ลมใต้ปีก’ ของกองทัพมดเศรษฐกิจไทย
ปัจจุบัน FlowAccount มีผู้ประกอบการใช้งานกว่า 130,000 ราย มีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ไหลเวียนในระบบนับแสนล้านบาท แต่กฤษฎามองว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น
“เป้าหมายของเราคือการเป็นที่พึ่ง เป็นเพื่อนคู่คิดของผู้ประกอบการ เราอยากทำให้การเป็นเจ้าของกิจการง่ายขึ้น ประหยัดเวลามากขึ้น เพื่อให้พวกเขานำเวลาไปสร้างสรรค์ธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ”
วิสัยทัศน์ในทศวรรษหน้าชัดเจนยิ่งขึ้นหลังการระดมทุนครั้งใหญ่ พวกเขาตั้งเป้าที่จะเติบโตไปไกลกว่าแค่เรื่องบัญชี สู่ขอบเขตของการชำระเงิน (Payments) อีคอมเมิร์ซ (E-commerce) และฟินเทค (Fintech) เพื่อเป็นโซลูชันที่ครบวงจรสำหรับทุกคนที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจ
จาก Pain Point ของผู้ประกอบการคนหนึ่งในวันนั้น สู่ ‘ระบบปฏิบัติการ’ ที่เป็นเหมือนลมใต้ปีกให้ธุรกิจเล็กๆ ทั่วประเทศได้ทะยานขึ้นอย่างมั่นคง เรื่องราวของ FlowAccount คือบทพิสูจน์ว่า บางครั้งนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีที่ซับซ้อนที่สุด แต่เกิดจากความเข้าใจในปัญหาอย่างลึกซึ้งที่สุด และความมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหานั้นอย่างไม่ลดละ
บทสัมภาษณ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ