อะโดบี (Adobe) เปิดเผยคาดการณ์แนวโน้มทิศทางตลาดในปี 2022 ที่เทคโนโลยีดิจิทัลจะยิ่งทำให้เนื้อหา (คอนเทนต์) ด้านภาพทรงพลังและมีบทบาทความสำคัญมากยิ่งขึ้น
วิกฤติการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงกว่า 1 ปีที่ผ่านมายังทำให้เกิดผู้ใช้งานรายย่อยขึ้นมาจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่คือเหล่า “ผู้สร้างเนื้อหา” หรือ “คอนเทนต์ ครีเอเตอร์” (Content Creator) อะโดบีจึงต้องปรับกลยุทธ์มุ่งพัฒนาซอฟท์แวร์เพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะกลุ่ม (personalization) ควบคู่ไปกับการปกป้องความเป็นส่วนตัว (privacy) หวังเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่รายย่อยได้สร้างประสบการณ์ที่ดีบนโลกดิจิทัลให้กับกลุ่มลูกค้าของตนเอง
ไซมอน เดล กรรมการผู้จัดการอะโดบี ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กล่าวระหว่างงานแถลงข่าวออนไลน์ ในหัวข้อ “ขับเคลื่อนประสบการณ์ลูกค้าหลังการแพร่ระบาด สิ่งที่แบรนด์ควรโฟกัส ควรหลีกเลี่ยง และ ‘หัวใจสำคัญ’ ในการทำการตลาดต่อจากนี้ เมื่อ Data ได้กลายเป็นทั้งความท้าทายและโอกาส” เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า การยอมรับเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้คนในหลายภูมิภาคทั่วโลก ทำให้ “คอนเทนต์” กลายเป็นทรัพยากรที่มีทั้งคุณค่าและมูลค่า ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้ดีก็คือการเติบโตของอะโดบีในช่วงปีที่ผ่านมา ที่ทำให้อะโดบีกลายหนึ่งในบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลายของซอฟต์แวร์มากที่สุดในโลก
ทั้งนี้ ไซมอนอธิบายว่า การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลทำให้คอนเทนต์ทั้งหลายที่แต่เดิมต้องปรากฎอยู่บนกระดาษเปลี่ยนไปอยู่ในรูปแบบดิจิทัลบนโลกออนไลน์เกือบทั้งหมดแล้ว ขณะที่เทคโนโลยีคลาวด์กับสมาร์ทโฟนจะทำให้กระบวนการผลิตคอนเทนต์เกิดขึ้นได้เร็วขึ้น
ดังนั้น ช่วงเวลานับจากนี้น่าจะเป็นยุคทองของงานด้านการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ (Design&Creativity)
“สำหรับอะโดบี บทบาทหน้าที่หลักของเรายังคงไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือการเป็นผู้สนับสนุน (supporter) ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเรา เพียงแต่การสนับสนุนที่ว่านี้จะเน้นทำให้การทำงานด้านคอนเทนต์สะดวกเหมาะสมและสอดคล้องกับโลกดิจิทัลให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
โดยหน้าที่ของการเป็นผู้สนับสนุนหมายความว่า การให้ผู้ใช้งานซอฟต์แวร์อะโดบีในฐานต่าง ๆ สามารถใช้เครื่องมือของบริษัทได้เต็มที่ เช่น ในฐานะครีเอเตอร์ใช้อะโดบีปลดปล่อยจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์โดยไร้ขีดจำกัด นักบริหารใช้อะโดบีในการจัดการเอกสารต่าง ๆ รวมถึง การรับรองที่ได้ผลตามกฎหมาย อย่างลายเซ็นดิจิทัล และสำหรับองค์กรธุรกิจ อะโดบี คือทัพเสริมที่จะทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ไซมอน กล่าวว่า จากการศึกษาวิจัยตลาดของอะโดบีในปี 2021 พบว่า องค์ประกอบที่จะเป็นกุญแจสำคัญในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล คือ 3 C นั่นคือ Content, Cookieless และ Commerce โดย Content คือเครื่องยนต์ขับเคลื่อนหลัก Cookieless เป็นเสมือนการสร้างความไว้วางใจ และ Commerce คือสร้างประสบการณ์ทางธุรกิจรูปแบบใหม่ที่ยึดผู้บริโภคเป็นศูนย์กลางหลักด้วยการใช้ประโยชน์จากข้อมูล
สำหรับโจทย์สำคัญของอะโดบีในขณะนีคือ การสร้างสมดุลระหว่าง ความต้องการเฉพาะบุคคล (Personalisation) กับ ความเป็นส่วนตัว (Privacy) เพราะสมดุลนี้จะช่วยให้เกิดความไว้วางใจ ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นแล้วเดินเข้าหาแบรนด์ รวมถึงอยู่กับแบรนด์ไม่เดินจากไป เพราะต้องไม่ลืมว่า เศรษฐกิจยุคดิจิทัลทำให้ผู้บริโภคมีอำนาจในการเลือกมากขึ้น ดังนั้น หลายธุรกิจย่อมต้องแข่งขันเพื่อดึงให้ลูกค้าอยู่กับตนเองให้นานที่สุด
ขณะเดียวกัน นอกจากจะสร้างความเชื่อมั่นดังกล่าวให้เกิดขึ้นในใจลูกค้าแล้ว อะโดบียังต้องการเป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้าปลายทางของลูกค้าอะโดบีอีกทอดหนึ่งด้วย
นอกจากนี้ อะโดบียังใช้โอกาสนี้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับกลยุทธ์ทางการตลาดที่เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการทำการตลาดของบรรดาธุรกิจในโลกยุคดิจิทัล
ไซมอนยอมรับว่า ความต้องการเฉพาะบุคคลกับความเป็นส่วนตัว ค่อนข้างเป็นอะไรที่ย้อนแย้ง เพราะธุรกิจจะตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลได้ย่อมต้องศึกษาข้อมูลของผู้บริโภค ในขณะที่ผู้บริโภคก็อยากรักษาความเป็นส่วนตัวของตนเองไว้ให้มากที่สุด ดังนั้นหน้าที่หนักน่าจะตกลงบนบ่าของนักการตลาด
อะโดบีแนะนำว่า การสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาไปกับผู้บริโภคเพื่อขอความยินยอม บวกกับการร่วมมือกับทำงานอย่างใกล้ชิดกับทีมงานเกี่ยวข้องกับดาต้าเพื่อทำความเข้าใจในเรื่องของการไหลเวียนข้อมูล (data flow) และความปลอดภัยข้อมูล (data security) ทั้งหมด ตลอดจนแง่มุมทางกฎหมาย เพื่อให้การดำเนินการทุกอย่างมีความโปร่งใส อยู่ในการรับรู้ของผู้บริโภคทั้งหมด
ขณะที่อำนาจในการควบคุมและตัดสินใจด้วยตนเองถือเป็นหลักการที่สำคัญ อะโดบี ระบุว่า แบรนด์จำเป็นต้องเสนอนโยบายความเป็นส่วนตัว (privacy policy) ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย มุ่งเน้นประเด็นที่มีความสำคัญกับผู้อ่าน ควรหลีกเลี่ยงการใช้ศัพท์เทคนิคด้านกฎหมาย และเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบและเปลี่ยนแปลงคำยินยอมของตนได้ทุกเมื่อ อย่าใช้ข้อมูลในทางที่ลูกค้าไม่ต้องการ และบริษัทต้องดำเนินการตรวจสอบระบบของตน พร้อมเปิดเผยรายงานผลอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้หน่วยงานภายนอกตรวจสอบเด็ดขาด เพราะจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือของบริษัทที่กู้คืนได้ยาก
การศึกษาของอะโดบีพบอีกว่า แนวโน้มที่การใช้ข้อมูล cookie จากเบราว์เซอร์กำลังจะหายไป (cookieless) ทำให้แบรนด์จำเป็นต้องปรับตัวมาเป็นผู้เก็บรวบรวมข้อมูลโดยตรง (first-party data) ซึ่งมีคุณภาพสูงและสอดคล้องตามข้อกำหนดความเป็นส่วนตัว ช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างสัมพันธภาพที่ดีและได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า ควบคู่ไปกับการนำเสนอประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้แก่ลูกค้าได้ ขณะที่การจัดระเบียบข้อมูล first-party data ของแบรนด์จะพิจารณาวัตถุประสงค์การใช้งาน แล้วตัดสินใจว่าแบรนด์จำเป็นต้องยกระดับข้อมูลดังกล่าวด้วยข้อมูลเพิ่มเติมหรือไม่
ทั้งนี้ ไซมอนเตือนว่า แบรนด์จะต้องเตรียมรับมือกับภาวะ cookieless ให้ดี หลังพบว่าจะมีผู้ใช้แอปทั่วโลกไม่ถึง 37% ที่อนุญาตให้แอปต่าง ๆ เข้าถึงความเป็นส่วนตัวและตรวจสอบติดตามผู้ใช้ ดังนั้น แบรนด์ต่าง ๆ จะต้องมีเครื่องมือสำหรับเก็บข้อมูล cookies ด้วยตัวเองอย่างปลอดภัยและไว้ใจได้
ยิ่งไปกว่านั้น การกำหนดขอบเขตการเข้าถึงและการใช้ข้อมูล โดยเฉพาะจากบุคลากรภายในบริษัทต้องเป็นไปอย่างเท่าเทียมกัน เพราะยิ่งองค์กรเปิดโอกาสให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลอัพเดตที่เกี่ยวข้องมากเท่าไร ก็ยิ่งสร้างประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น ทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลที่ทำงานร่วมกับฝ่ายการตลาดจะสามารถนำเสนอแนวทางที่นักการตลาดจะนำข้อมูลไปใช้ได้อย่างเหมาะสม การเข้าถึงแดชบอร์ดและการค้นหาข้อมูลที่กำหนดค่าได้จะช่วยให้แบรนด์สามารถนำเสนอประสบการณ์ลูกค้าที่ครอบคลุมหลากหลายมิติและปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมได้มากขึ้น
นอกจากนี้ อย่าลืมที่จะลงทุนในเรื่องความเป็นส่วนตัว (privacy) เพื่อให้ลูกค้าเกิดความไว้วางใจ ซึ่งจะช่วยให้แบรนด์สามารถสร้าง data foundation ในการนำเสนอประสบการณ์ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไซมอนกล่าวปิดท้ายว่า อะโดบีมีความพร้อมจะอยู่ในทุกกระบวนการสร้างประสบการณ์ดิจิทัลของทุกธุรกิจและทุกอุตสาหกรรม รวมถึงการเป็นส่วนหนึ่งที่จะพาผู้บริโภคเข้าสู่โลกเมตาเวิร์สที่อะโดบีมั่นใจว่าจะสามารถส่งเสริมสนับสนุนธุรกิจให้มีเครื่องมือสำหรับสร้างภาพที่มีความละเอียดและรองรับเทคโนโลยี 3 มิติ ตลอดจนเทคโนโลยีเสมือนจริง อย่าง VR และ XR ได้ดียิ่งกว่าเดิม และอะโดบีสามารถตอบโจทย์ทุกธุรกิจที่จำเป็นต้องใช้ครื่องมือในการสร้างภาพคุณภาพสูงและความละเอียดที่คมชัดเหล่านี้
ขณะเดียวกัน การเกิดขึ้นของ NFT ทำให้ อะโดบีปรับปรุงซอฟต์แวร์ให้สอดคล้องกับความต้องการผู้สร้าง NFT เช่น โปรแกรมตกแต่งภาพโฟโต้ช้อป (Photoshop) ด้วยการช่วยแก้ปัญหาและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในธุรกิจ NFT ซึ่งฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามา เป็นฟีเจอร์เดียวกับที่อะโดบีเปิดตัวเมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคม ชื่อ Content Credentials ที่ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้เพื่อแสดงข้อมูลอัตลักษณ์ของผู้สร้างหรือครีเอเตอร์ รวมถึงประวัติการแก้ไข ช่วยให้ครีเอเตอร์ได้รับเครดิตจากผลงาน พร้อมเชื่อมต่อกับตลาด NFT เพื่อให้สามารถสร้างรายได้จากผลงานได้ทันที
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาเกือบ 40 ปีของการก่อตั้งบริษัท อะโดบีสามารเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน อะโดบีมีพนักงานมากกว่า 24,000 คนใน 35 ประเทศทั่วโลก มีรายได้จากทั่วโลกในปี 2020 อยู่ที่ 12,870 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีมูลค่าตลาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกในอุตสาหกรรมด้านซอฟต์แวร์
“อินเนส คาลไดรา” กับ พันธกิจ “ลอรีอัล” ผสานเทคโนโลยีกับความงาม สู่ผู้นำตลาดยุคดิจิทัล
Google แนะไทยเร่งสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ดัน จีดีพีไทยแตะ 2.5 ล้านล้านบาทในปี 2030
เดอะมอลล์กรุ๊ป จับมือ บิทคับ ตั้ง JV “บิทคับ เอ็ม” ดันไทยเป็นฮับสินทรัพย์ดิจิทัลภูมิภาคเอเชีย