Share on
×

Share

ครม. เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน ดันไทยเป็น Financial Hub

(4 ก.พ. 68) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักการของร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงินพ.ศ….. ผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) โดยการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้มีความเป็นสากล โปร่งใส และเอื้อต่อการประกอบธุรกิจ เพื่อให้การพิจารณาใบอนุญาตและการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจเป็นแบบครบวงจร โดยมีสาระสำคัญดังนี้

1. โดยที่ปัจจุบันผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินใน Financial Hub ของหลายประเทศอาจเผชิญปัญหาค่าเช่าและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน มีแรงจูงใจที่จะย้ายสำนักงานออกจากพื้นที่เดิมและมองหาพื้นที่ใหม่ที่ต้นทุนการทำธุรกิจไม่สูงจนเกินไป ประกอบกับคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 12 กันยายน2567 ได้มีนโยบายที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) ซึ่งประเทศไทยมีปัจจัยที่สามารถดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินต่างประเทศ เช่น ค่าครองชีพที่ต่ำกว่า ทักษะแรงงานไทย โครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินไทยที่พัฒนามากกว่าหลายประเทศในภูมิภาค เป็นต้น ดังนั้น การพัฒนาประเทศไทยให้เป็น Financial Hub จึงเป็นโอกาสของประเทศไทยที่จะสามารถดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในประเทศได้ โดยการผลักดันการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้มีความเป็นสากล โปร่งใส และเอื้อต่อการประกอบธุรกิจ

2. กระทรวงการคลังจึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลกและดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินจากต่างประเทศให้มาประกอบธุรกิจในไทย อันจะช่วยพัฒนาระบบนิเวศของอุตสาหกรรมการเงินและพัฒนาบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานให้สอดรับกับความต้องการของบริษัทด้านการเงินระดับโลก ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
2.1 กำหนดแนวทางการจัดตั้งศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) ในเขตพื้นที่ที่จะมีการกำหนดขึ้น โดยผู้ประกอบการที่จะเข้ามาประกอบการใน Financial Hub จะต้องให้บริการเฉพาะในธุรกิจเป้าหมายที่กำหนด และให้บริการเฉพาะผู้ไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย (non-residents) เท่านั้น ยกเว้นการให้บริการเป็นตัวแทนนายหน้า ค้า จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศให้กับผู้ประกอบการไทยในลักษณะธุรกิจต่อธุรกิจ (Business to Business) ทั้งนี้ ผู้ประกอบการจะต้องเป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทย หรือสาขาของนิติบุคคลต่างประเทศ และต้องจ้างแรงงานไทยเป็นสัดส่วนตามที่กำหนด
2.2 กำหนดให้มีคณะกรรมการฯ เป็นผู้กำหนดนโยบาย แนวทางการส่งเสริมและกำกับดูแลผู้ประกอบการธุรกิจเป้าหมาย และให้มีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลและไม่เป็นส่วนราชการ เพื่อกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจเป้าหมายใน Financial Hub โดยคำนึงถึงเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจหรือระบบการเงินของประเทศ รวมทั้งกำหนดสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ แก่ผู้ประกอบธุรกิจเป้าหมายใน Financial Hub เช่น สิทธิในการถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุด โดยได้รับยกเว้นจากการจำกัดสิทธิของคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด สิทธิในการนำคนต่างด้าว (ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญใด ๆ ที่คณะกรรมการฯ กำหนด ผู้บริหารหรือผู้ชำนาญการ และคู่สมรสและบุคคลซึ่งอยู่ในอุปการะของบุคคลดังกล่าว) เข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรได้ตามจำนวนและระยะเวลาที่สำนักงานฯ อนุญาต โดยให้ถือว่าบุคคลดังกล่าวมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และมีสิทธิทำงานในตำแหน่งหน้าที่การทำงานที่คณะกรรมการฯ ประกาศกำหนด โดยไม่ต้องได้รับใบอนุญาตทำงานตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (แต่ต้องได้รับใบอนุญาตเป็นหนังสือจากสำนักงานฯ) สิทธิในการทำธุรกรรมทางการเงิน โดยได้รับยกเว้นการขออนุญาตหรือขึ้นทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน และสิทธิประโยชน์อื่น โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจ ที่เลิก ควบ หรือโอนการประกอบธุรกิจเป้าหมายยังคงได้รับสิทธิและประโยชน์ใด ๆ ต่อไปอีกไม่เกิน 3 เดือน นับแต่วันเลิก ควบ หรือโอนการประกอบธุรกิจ
2.3 กำหนดบทกำหนดโทษทางอาญาและมาตรการปรับเป็นพินัย ทั้งนี้ ในวาระเริ่มแรกให้รัฐบาลจัดสรรทุนประเดิมให้สำนักงานฯ ตามความจำเป็นซึ่งกระทรวงการคลังคาดว่าในระยะ 3 ปีแรก เป็นจำนวน 300 ล้านบาท และอัตรากำลัง ที่ต้องใช้ในสำนักงานฯ จำนวน 50 อัตรา

3. กระทรวงการคลังโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นประกอบการจัดทำร่างกฎหมายตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2567 – 9 มกราคม 2568 (รวม 16 วัน) และเปิดเผยสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย โดยจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายตามแนวทางมติคณะรัฐมนตรี (19 พฤศจิกายน 2562) เรื่อง การดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 และได้เผยแพร่ผลการรับฟังความคิดเห็นพร้อมการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายผ่านทางเว็บไซต์ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (www.fpo.go.th) และระบบกลางทางกฎหมาย (www.law.go.th) ให้ประชาชนได้รับทราบแล้วรวมทั้งได้เสนอแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. …. รวมจำนวน 22 ฉบับ มาด้วยแล้ว

4. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย สำนักงบประมาณ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเห็นชอบ/ไม่ขัดข้องในหลักการ

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Data Center บุกไทย ใครรุ่ง ใครร่วง?

เหรียญอีกด้านของปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5

×

Share

ผู้เขียน