บ้านปู ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายกำลังปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกพลังงาน ประกาศเน้นการลงทุนในพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีใหม่ ๆ พร้อมทั้งรักษาความมั่นคงของธุรกิจพลังงานดั้งเดิม ตั้งเป้าลดรายได้จากธุรกิจถ่านหินเหลือน้อยกว่า 50% ในปี 2568 ทุ่มงบ 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เน้นลงทุนในธุรกิจก๊าซ เล็งลงทุนเหมืองนิกเกิล พร้อมปรับโฟกัสการลงทุน มุ่งสร้างกระแสเงินสด
สินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ มีการประเมินกระแสการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อทิศทางด้านพลังงานของโลกอย่างรอบด้าน รวมถึงนโยบายและแผนพลังงานในประเทศยุทธศาสตร์ ในปีนี้เราจึงมุ่งเน้นการจัดสรรเงินทุนไปยังสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงและการปรับโครงสร้างอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอย่างสมดุลที่สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน
“กลยุทธ์ของบ้านปูปีนี้ อยู่ในช่วงการรีโฟกัสแผน คือเน้นกระแสเงินสด ดูว่าทรัพย์สินตัวไหนที่เราสามารถขายแล้วสร้างรายได้หรือสามารถนำเงินไปใช้ในโครงการที่มีผลตอบแทนที่สูงกว่า ก็จะทำส่วนนั้น” สินนท์กล่าวระหว่างการแถลงข่าวการขับเคลื่อนกลยุทธ์ของบ้านปูปี 2568
“เราเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ Energy Symphonics จะทำให้บ้านปูเป็นบริษัทพลังงานที่แตกต่างที่เป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและร่วมขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำไปพร้อมๆ กับการสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นได้อย่างยั่งยืน” สินนท์กล่าว
บ้านปูมีการมอนิเตอร์เทรนด์โลกขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ที่สั่งเปลี่ยนนโยบายสิ่งแวดล้อมกลับมาเน้นก๊าซธรรมชาติและน้ำมันเบนซินมากขึ้น ยุคของ AI และ Digital Infrastructure และ Data Centre ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นประเด็นร้อนและจะมีการใช้พลังงานมากขึ้นแน่ๆ ซึ่งสินนท์มองว่าล้วนแล้วแต่เป็นโอกาส
“ถ้ามองเทรนด์เหล่านั้น จะพบว่าบ้านปูอยู่ในจุดหรือตำแหน่งที่ดี สิ่งที่เราต้องโฟกัสมากสุดคือ Reliability ของพลังงาน ซึ่งบ้านปูก็ดำเนินธุรกิจพลังงานทุกประเภทตั้งแต่พลังงานดั้งเดิม เช่น ก๊าซหรือถ่านหินและพลังงานสะอาด”

โฟกัสลงทุนเหมืองนิกเกิล
สินนท์แจกแจง 4 เสาหลักของกลยุทธ์ Energy Symphonics ที่ประกอบไปด้วย
- Decarbonization ซึ่งเราตั้งเป้า Net Zero Target ในปี 2050 แม้นโยบายสหรัฐฯ ด้านสิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนแปลง แต่บ้านปูยังคงให้คำมั่นสัญญาในการลดคาร์บอนไดออกไซด์ เพราะมองว่าเรื่องของพลังงานคือต้นน้ำของหลาย ๆ อุตสาหกรรม ถ้าพลังงานไม่ลดคาร์บอนลง อุตสาหกรรมอื่นๆ ก็จะลดไม่ได้ เราตั้งเป้าหมายระยะสั้นไว้ว่าปี 2030 จะลดคาร์บอนอย่างน้อย 20%
- การผสมผสานกันของพลังงาน โดยขุดก๊าซและนำไปใส่ในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ และดักจับและกักเก็บคาร์บอน จากก๊าซ (CCUS) ก็ทำให้ก๊าซของเราเป็น Net Zero ได้
- Renewable+ เรามองเรื่องการลงทุนพลังงานสะอาดที่มีผลตอบแทนสูงมากขึ้น เช่น เรื่องของแบตเตอรี่ การกักเก็บพลังงาน หรือการไปตั้งแบตเตอรี่ลูกใหญ่ๆ ชาร์จและปล่อยไฟในตลาดไฟเสรีก็น่าจะได้ผลตอบแทนที่ดี
- Next Gen Mining หรือการนำเทคโนโลยี AI มาเสริมการดำเนินงานธุรกิจเหมือง รวมถึงการเข้าลงทุนในเหมืองแร่นิกเกิลที่อินโดนีเซีย เพื่อเข้ามาเสริมศักยภาพกลุ่มธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ของกลุ่มบริษัท ที่สนใจแร่ตัวนี้เพราะเป็นแร่สำคัญของการทำพลังงานสะอาด ซึ่งตอนนี้ราคาของนิกเกิลก็ปรับตัวลงมาแล้ว Demand และ Supply มีความสมดุลอยู่
4 แนวทางของ Energy Symphonics
บริษัทฯ ยังได้เผยถึง 4 แนวทางในการดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ Energy Symphonics คือ
- การดำเนินงานและบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ช่วยเพิ่มกระแสเงินสดและมูลค่าของธุรกิจ เช่น การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI และการลดต้นทุนในธุรกิจเหมือง
- การบริหารโครงสร้างเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรักษาระดับหนี้และทุนให้อยู่ในระดับเหมาะสมกับการเติบโตและผลประกอบการที่ดี
- การบริหารพอร์ตโฟลิโอเชิงกลยุทธ์ โดยเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่จะมาสร้างคุณค่าให้บริษัทฯ ในระยะยาว เช่น การสร้างการเติบโตของธุรกิจที่ครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่าของก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ
- การบริหารจัดสรรเงินทุนอย่างมีวินัย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ และผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น
ปี 68 ตั้งเป้าลดรายได้ธุรกิจถ่านหินเหลือน้อยกว่า 50%
บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนในช่วง 5-6 ปีจากนี้ไว้ที่ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยปีนี้จะใช้งบลงทุน 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แบ่งเป็น 60% ในธุรกิจก๊าซ ไฟฟ้าและ CCUS อีก 20% ลงทุนใน Renewable Energy และแบตเตอรี่ฟาร์ม ส่วนที่เหลือ 20% ลงทุนใน Next Gen Mining
บ้านปูยังมีเป้าปรับโครงสร้างรายได้หลักปี 2568 โดยจะเพิ่มรายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่ถ่านหิน 50% และลดรายได้จากธุรกิจถ่านหินเหลือน้อยกว่า 50%
ส่วนธุรกิจที่ยังคงเน้นอยู่คือ โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ CCUS แบตเตอรี่ฟาร์ม และเหมืองนิกเกิล แต่ยังไม่มองถึงธุรกิจใหม่ เช่น นิวเคลียร์และไฮโดรเจน เพราะธุรกิจที่ทำอยู่ยังคงไปได้ระยะกลางและระยะยาว
ธุรกิจเหมืองยังเป็นรายได้หลักในปี 67
สำหรับผลประกอบการปี 2567 บริษัทฯ รายงานรายได้จากการขายรวม 5,148 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 181,549 ล้านบาท) โดย 60% มาจากธุรกิจเหมือง 14% มาจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติ 26% มาจากธุรกิจไฟฟ้าและอื่นๆ มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) รวม 1,330 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 46,970 ล้านบาท) กำไรจากการดำเนินงาน 83.3 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,964 ล้านบาท) และผลขาดทุนสุทธิ 23.67 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 682.42 ล้านบาท) ซึ่งเป็นผลกระทบจากการด้อยค่าเงินลงทุนจากการขายสัดส่วนการลงทุนโรงไฟฟ้านาโกโซ ในประเทศญี่ปุ่น และการขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับเงินบาท
คาดการณ์ความต้องการใช้พลังงานเพิ่มเท่าตัวในอีก 20 ปี
ซีอีโอบ้านปูคาดการณ์ว่า ความต้องการใช้พลังงานจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวในปี 2050 หรืออีก 20 ปีข้างหน้า ส่วนในระยะสั้นและกลาง คนก็จะใช้พลังงานมากขึ้น เพราะจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น มีคนใช้รถ EV มากขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กับธุรกิจพลังงาน
“สำหรับบ้านปูเอง เราเน้น Energy Trilemma เราไม่ใช่แค่ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดอย่างเดียว แต่ต้องมีความ Reliability และมีเรื่องของราคาพลังงานที่ทำให้ประชากรสามารถมีพลังงานใช้ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ยิ่งในประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ราคาพลังงานมีความสำคัญต่อการแข่งขันของประเทศ คนอยากมาตั้ง Data Center ที่ไทย เพราะราคาพลังงานต่ำนั่นเอง และนั่นเป็นจุดขายของประเทศ” สินนท์กล่าว
Energy Trilemma คือ กรอบแนวคิดของความท้าทายด้านพลังงาน 3 ประการ นั่นคือ ความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security) การเข้าถึงพลังงานหรือมีราคาเหมาะสม (Energy Affordability) และความยั่งยืนของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability)
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ไฮเออร์เปิดตัว “แบมแบม” นั่งแบรนด์แอมบาสเดอร์ เสริมภาพลักษณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
ไทยพัฒน์ เผยทิศทาง ESG ปี 68 ธุรกิจเดินหน้ายกระดับจาก ‘วิถียั่งยืน’ สู่ ‘วิสัยยั่งยืน’