Share on
×

Share

กูรูแนะรัฐ “ตั้งโจทย์ วางแผน เก็บข้อมูล” ให้ชัดเจน ดัน AI ยกประสิทธิภาพรัฐบาลดิจิทัล

ท่ามกลางโลกยุคเศรษฐกิจดิจิทัล เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI คือ กุญแจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนผ่านแนวทางการทำงานและการให้บริการหน่วยงานภาครัฐฯ ต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะเอไอ มีความสามารถในการรวบรวม ประมวล วิเคราะห์ และเรียนรู้ ข้อมูลขนาดใหญ่ ก่อนดึงเอาออกมาใช้เป็นโซลูชั่นในการแก้ไขประเด็นในการให้บริการต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่ที่แตกต่างหลายหลายและครอบคลุมคนทุกระดับชั้นในสังคม 

ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐชี้ ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) เป็นเทคโนโลยีที่สามารถตอบโจทย์ในการยกระดับประสิทธิภาพในการให้บริการของภาครัฐฯ อย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมาที่เกิดวิกฤติการระบาดของไวรัสโควิด-19 

เหตุผลเพราะการระบาดทำให้เห็นได้ว่า การให้บริการจากภาครัฐที่มีประสิทธิภาพมีบทบาทสำคัญมากเพียงใด และเทคโนโลยีเอไอ เข้ามาช่วยรัฐในการวางแผนบริหารจัดการทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์และสร้างความพึงพอใจสูงสุด เช่น การใช้เอไอไปช่วยสปสช.เคลมประกันสุขภาพ การใช้เอไอควบคู่กับกล้องวงจรปิดเพื่อตรวจสอบการใส่หน้ากากของคนชุมชน หรือใช้ระบบแขทบอทคอยให้บริการข้อมูลสำคัญจำเป็น เป็นต้น

นอกจากนี้ การนำเอไอมาประยุกต์ใช้งานบริการภาครัฐฯ ยังช่วยประหยัดเวลา ประหยัดงบประมาณ และลดภาระงานข้าราชการทำให้ข้าราชการเหล่านี้นำเวลาไปยกระดับทักษะที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการให้บริการของภาครัฐในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน 

ดร.วินน์ วรวุฒิคุณชัย ผู้ก่อตั้งบอทน้อย คอนซัลติ้ง กล่าวที่เวทีสัมมนาหัวข้อ “How Government can put AI into Action” (รัฐบาลจะผลักดันให้มีการใช้เอไอได้อย่างไร) ในการประชุมวิชาการนานาชาติ ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมภาครัฐ (DGTI-Con 2022) ว่า ในมุมมองส่วนตัว มองว่า AI ย่อมาจากคำว่า Automation และ Insight ซึ่ง Automation หมายความว่า เป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้แทนการทำงานที่ต้องทำแบบซ้ำ ๆ เดิม ๆ ให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติ ขณะที่ Insight คือการหยั่งลึก เป็นการนำข้อมูลที่มีอยู่มหาศาลมาประมวลวิเคราะห์ เพื่อหยิบมาใช้ประโยชน์ ตอบสนองความต้องการ หรือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น การใช้เอไอวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณน้ำ แล้วหารูปแบบเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม 

อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญที่สุดในการที่รัฐจะนำเอไอมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือให้นิยามกำหนดโจทย์ปัญหาได้อย่างถูกต้องเสียก่อน ศิรินุช ศรารัชต์ ผู้อำนวยการธุรกิจภาคการศึกษา บริษัท ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ต่อให้เทคโนโลยีเอไอล้ำหน้าทันสมัยมากเพียงใด แต่ถ้าป้อน “ข้อมูล” ไม่ถูกต้อง เอไอย่อมไม่สามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ 

ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธการ นายกกสมาคมปัญญาประดิษฐ์แห่งประเทศไทย อธิบายว่า ถ้าเอไอคือต้นไม้ ข้อมูลก็คือน้ำ ดังนั้น เอไอจะเติบโตได้ดี ข้อมูลก็ต้องดี มีคุณภาพ และยิ่งมีข้อมูลมากเท่าไร เอไอก็จะสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่มากเท่านั้น

ขณะที่ ดร.วินน์เสริมว่า การเก็บข้อมูลเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่จะนำไปใช้ทำ data analysis แต่ละครั้ง ผู้เก็บข้อมูลต้องตอบคำถามให้ได้ก่อนว่า ทำไปเพื่ออะไร แล้วสิ่งที่ทำจะนำไปทำอะไรให้ได้ก่อน จึงจะสามารถก้าวต่อไปได้ รวมถึงทำให้ข้อมูลเชิงลึกที่ได้มาเป็นประโยชน์ต่อการวางกลยุทธ์ในองค์กร หรือ หน่วยงาน ตัดปัญหาเรื่องขีดจำกัดของคน เวลา และงบประมาณที่จะต้องใช้

ทั้งนี้ สิ่งที่อยากฝากทิ้งท้าย ดร.กอบกฤตย์ แนะให้ภาครัฐ หรือหน่วยงานที่สนใจนำเอไอมาใช้งาน ให้เริ่มต้นจากการนำร่องทำเป็นโครงการขนาดเล็กเพื่อดูว่าเอไอและโซลูชั่นที่เลือกมาได้ผลมากน้อยแค่ไหน หากได้ผลก็ค่อย ๆ ขยับขยาย แต่หากพลาดก็เปลี่ยนแนวทางแล้วหาโซลูชั่นใหม่ 

ส่วนดร.วินน์ แนะให้รัฐจัดตั้งหน่วยงานกลางทีเข้ามาดูแลเรื่องเอไอขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อให้มีส่วนกลาง ทำหน้าที่รวบรวมคลังความรู้แล้วคอยส่งต่อไป ขณะที่ ศิรินุช กล่าวว่า เพราะเอไอยังเป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างใหม่ ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่จะเกิดความผิดพลาด แต่ประเด็นสำคัญก็คือเมื่อผิดพลาดแล้ว ก็อย่าเมินเฉย หรือเสียใจ แต่ให้รีบลุกขึ้นมาแล้วเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น

ขณะเดียวกัน ทางด้าน อนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้ขึ้นเวทีกล่าวสุนทรพจน์ในห้วข้อ “การขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัลด้วยปัญญาประดิษฐ์” กล่าวแนะนำว่า ประเด็นสำคัญของการนำเอไอมาใช้ให้ตรงกับความต้องการของคนในประเทศให้ได้มากที่สุด อยู่ที่การตระหนักรู้ถึงตัวตน หรือ “ดีเอ็นเอ” ของคนไทยส่วนใหญ่ในสังคม ยกตัวอย่างเช่น กรณีของคนจีนส่วนใหญ่ถนัดในการค้าขาย ขณะที่คนไทยส่วนใหญ่คือเกษตรกร ดังนั้น การนำเอไอมาประยุกต์ใช้ต้องหาทางให้เป็นประโยชน์กับคนตัวเล็กกลุ่มใหญ่ของสังคม ซึ่งจะทำให้ไทยสามารถพัฒนาก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน ปราศจากความเหลื่อมล้ำ 

สำหรับงานประชุมวิชาการครั้งนี้จัดขึ้นโดยสํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA  เพื่อเป็นเวทีสากลในการสนับสนุนการเผยแพร่ผลงานวิจัย ผลงานวิชาการให้เป็นที่รู้จัก สามารถนําไปต่อยอดให้เกิดการ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ความรู้ด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมดิจิทัล ในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมของประเทศ สู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน

รวมทั้งเป็นเวทีสําหรับการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลภาครัฐ ระหว่างนักวิจัย หรือนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศ ให้ได้มีโอกาสนําเสนอผลงานวิจัยและบทความทางวิชาการด้านต่าง ๆ อาทิ เทคโนโลยีเพื่อสาธารณะประโยชน์ (Technology for Public Sector), การเกษตรและความยั่งยืน (Agricultural and Sustainability) การบริการและสวัสดิการสังคม (Services and Welfare) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium- sized Enterprises SME) และการศึกษายุคดิจิทัล (Smart Education) โดยมีงานวิจัยที่ส่งเข้าร่วมทั้งหมด จํานวน 63 ผลงานจากนานาประเทศ อาทิ ประเทศไทย บราซิล ญี่ปุ่น และอินเดีย

×

Share

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ผู้เขียน