ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจผันผวนและแรงกดดันรอบด้าน สองผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินชั้นนำของไทย “จักรพงษ์ เมษพันธุ์” (โค้ชหนุ่ม) และ “ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์” ซีอีโอ Jitta ร่วมไขทุกปัญหาการเงินของคนธรรมดาในงานเสวนา “Money Freedom 101 ปลดล็อกการเงิน ฉบับคนธรรมดา” ในงาน Creative Talk Conference 2025 (CTC 2025) แนะให้เปลี่ยนวิธีคิดจากการ “เก็บเงินสด” เพียงอย่างเดียว มาสู่ “การจัดการเงิน” แบบองค์รวม พร้อมชี้แนวทางสร้าง “Playbook การเงินส่วนตัว” ที่เหมาะสมกับตนเอง และเตือนสติให้รู้เท่าทันภาพลวงตาในโลกโซเชียล ได้เจาะลึกในประเด็นต่าง ๆ ที่คนส่วนใหญ่กำลังเผชิญ ตั้งแต่การออม การลงทุน การจัดการหนี้สิน ไปจนถึงการสร้างสมดุลให้ชีวิต โดยมีเป้าหมายเพื่อมอบเครื่องมือทางความคิดให้ผู้ฟังสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง
ยกเครื่องความคิด: “จัดการเงิน” สำคัญกว่า “เก็บเงินสด”
ประเด็นแรกที่ถูกหยิบยกคือความเชื่อที่ว่า “ยุคนี้ต้องตุนเงินสด” ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทั้งสองมองว่าเป็นความคิดที่ถูกเพียงครึ่งเดียว ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ให้ทัศนะว่า เงินสดจำเป็นในฐานะ “เบาะรองรับ” (Cushion) เพื่อรับมือเหตุไม่คาดฝัน ทั้งในระดับบุคคลและธุรกิจ แต่การถือครองมากเกินไปจะทำให้ความมั่งคั่งในระยะยาวถูกกัดกร่อนด้วยเงินเฟ้อ
“การคิดแค่เก็บเงินสดอย่างเดียวไม่ถูกต้อง เพราะมันแลกมากับการเติบโตในระยะยาว” ตราวุทธิ์กล่าว และชี้ว่าสิ่งที่สำคัญกว่าการเก็บเงินคือ “การพัฒนาตัวเอง” เพราะความรู้ความสามารถคือทรัพย์สินที่แท้จริงที่จะช่วยให้เราสร้างรายได้ใหม่ได้เสมอไม่ว่าสภาวะเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร
ด้าน จักรพงษ์ เมษพันธุ์ (โค้ชหนุ่ม) เสริมว่า คำว่า “เพียงพอ” ของแต่ละคนไม่เท่ากัน เราจึงไม่ควรยึดติดกับตัวเลขของคนอื่น แต่ควรสร้าง “Playbook การเงินของตัวเอง” ขึ้นมา โดยพิจารณาจากปัจจัยเสี่ยงส่วนบุคคลอย่างละเอียด เช่น ความมั่นคงของอาชีพ งานที่ทำอยู่มีความเสี่ยงตกงานมากน้อยเพียงใด และโครงสร้างรายได้ ว่ามีรายได้จากกี่ทาง มีคู่ชีวิตช่วยหารายได้หรือไม่ และทำงานในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือไม่
“มาตรฐานเงินสำรอง 6 เดือนเป็นเพียงจุดเริ่มต้น บางคนงานมั่นคงมาก มีรายได้หลายทาง 3-6 เดือนอาจจะพอ แต่บางคนเสี่ยงสูงอาจต้องมีถึง 12 เดือน” โค้ชหนุ่มอธิบาย และเมื่อจัดการเงินสำรองและความเสี่ยงด้านสุขภาพ (เช่น ประกัน) เรียบร้อยแล้ว เขาเน้นย้ำว่า “ช่วงเวลาแบบนี้คือโคตรน่า Invest” เพราะในประวัติศาสตร์ ช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่หวาดกลัวคือโอกาสที่ดีที่สุดในการเข้าลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนในอนาคต
ลงทุน-เคลียร์หนี้: ทำสองสิ่งพร้อมกันได้อย่างไร?
เมื่อต้องเผชิญทั้งภาระหนี้สินและการวางแผนอนาคต โค้ชหนุ่มแนะให้เลิกคิดแบบข้อสอบปรนัยที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ให้ “ทำทั้งสองอย่างไปพร้อมกัน”
เขาแนะนำให้แยกแยะ “ภาระจำเป็น” ออกจาก “ภาระที่หาเรื่องใส่ตัว” พร้อมยกตัวอย่างคู่รักรายได้รวม 50,000 บาท แต่ต้องการซื้อคอนโดราคา 5 ล้านบาท ซึ่งเป็นการสร้างภาระที่หนักเกินไปโดยไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่ายแฝงอื่น ๆ ที่จะตามมา
“ให้มองหนี้สินเหมือน กระจกมองหลัง ของรถยนต์ เรามองมันเป็นครั้งคราวเมื่อถึงเวลาต้องจ่ายหรือเลี้ยว แต่เวลาส่วนใหญ่เราต้องโฟกัสกับถนนข้างหน้า คือการใช้ชีวิต การหารายได้ และการลงทุน อย่าจมอยู่กับดราม่าหนี้สิน เพราะมันไม่ได้ช่วยอะไร” โค้ชหนุ่มกล่าว
สำหรับการลงทุน ตราวุทธิ์ย้ำว่าสิ่งแรกที่ต้องทำคือ “ลงทุนในความรู้” เพื่อให้เข้าใจว่าสินทรัพย์แต่ละประเภททำงานอย่างไร มีข้อดีข้อเสียต่างกันแบบไหน พร้อมฝากเทคนิคง่าย ๆ คือ “กฎ 72” เพื่อคำนวณระยะเวลาที่เงินจะโตเป็นเท่าตัว (นำ 72 หารด้วยอัตราผลตอบแทนต่อปี เช่น ผลตอบแทน 8% ต่อปี จะใช้เวลา 9 ปี) และสิ่งที่ทรงพลังที่สุดคือ “ระยะเวลา” ยิ่งเริ่มลงทุนเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้เปรียบมากเท่านั้น
หาจุดสมดุล: ใช้เงินวันนี้ vs. เก็บเพื่อวันหน้า
อีกหนึ่งคำถามโลกแตกคือจะใช้ชีวิตให้มีความสุขวันนี้ หรือจะอดทนเพื่ออนาคต ตราวุทธิ์เล่าจากประสบการณ์ส่วนตัวว่าเคยรู้สึกผิดที่ใช้เงินเที่ยว เพราะคิดว่าเงินก้อนนั้นสามารถนำไปลงทุนให้งอกเงยได้ เขาจึงแนะนำวิธี “แบ่งเงินเป็นสัดส่วน” (Bucketing) จัดสรรงบสำหรับใช้จ่ายเพื่อความสุขไว้โดยเฉพาะ เช่น งบท่องเที่ยว งบให้ครอบครัว เมื่อเงินถูกแบ่งชัดเจนแล้ว เราจะสามารถใช้จ่ายในส่วนนั้นได้อย่างสบายใจ
โค้ชหนุ่มเสริมว่า การใช้จ่าย “ฟุ่มเฟือย” บ้างไม่ใช่เรื่องผิด “กินข้าวแกงทุกวันมันคือจำเป็น แต่การไปกินชาบูมื้อพิเศษมันคือความสุข” แต่ต้องอยู่บนเงื่อนไขที่ไม่สร้างหนี้สิน คนที่เป็น “ผู้ใหญ่ทางการเงิน” คือคนที่รู้จักจัดสรรความสุขในวันนี้และสร้างความมั่นคงเพื่อวันหน้าได้อย่างลงตัว
คำเตือน: อย่าตกเป็นเหยื่อภาพลวงตาโซเชียล
ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองได้เตือนอย่างหนักแน่นถึงแรงกดดันและข้อมูลที่บิดเบือนในโซเชียลมีเดีย “ที่เห็นในโซเชียลมีเดียมัน ตอแหล” โค้ชหนุ่มกล่าวอย่างตรงไปตรงมา พร้อมเล่าถึงกรณีอินฟลูเอนเซอร์ที่เปิดคอร์สสอนหาเงินล้าน แต่หลังไมค์กลับมาปรึกษาปัญหาหนี้สินกว่า 2 ล้านบาทกับตนเอง และย้ำว่า “ทิศทางสำคัญกว่าความเร็ว” การมีทิศทางที่ถูกต้องสำคัญกว่าการพยายามรวยเร็วแบบผิด ๆ
ตราวุทธิ์ทิ้งท้ายในประเด็นนี้ว่า “ความมั่งคั่งที่แท้จริงคือสิ่งที่คุณมองไม่เห็น” (Wealth is what you don’t see) พร้อมแนะนำให้ศึกษา “วิธีการ” ที่ทำให้คนคนหนึ่งประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แค่ดูที่ “ผลลัพธ์” ปลายทางที่เขาโชว์ และสิ่งสำคัญที่สุดคือการหยุดเปรียบเทียบ เพราะทุกคนมีจังหวะเวลาแห่งความสำเร็จเป็นของตัวเอง