โมเดล AI สัญชาติไทยที่เปิดให้ใช้ฟรี แพลตฟอร์มที่ทำให้การสร้าง AI ง่ายเหมือนลากวาง และนวัตกรรมที่สามารถจดสิทธิบัตรได้จริง คือ ภาพอนาคตของระบบนิเวศ AI ไทยที่กำลังเกิดขึ้นแล้ววันนี้ จากการเปิดเผยเบื้องหลังโดยผู้เชี่ยวชาญจาก 3 ส่วนสำคัญของวงการ ทั้ง SCB 10X ผู้สร้างโมเดล ‘ใต้ฝุ่น’ CiRA CORE ผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม AI เพื่อทุกคน และสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIAT) ผู้สร้างคนและผลักดันด้านทรัพย์สินทางปัญญา ในเวทีเสวนา “การนำ AI Infrastructure ไปใช้จริง พร้อมวิธีการเลือกใช้” ในงาน SITE 2025
SCB 10X กับภารกิจปั้น ‘ไต้ฝุ่น’ LLM สัญชาติไทยสู่ Open-source
กฤณพงษ์ จิระยุติ Program Manager จาก SCB 10X ได้ให้ภาพรวมว่า SCB 10X ดำเนินการในสองบทบาทหลัก คือทั้งการเป็น ‘ผู้พัฒนาโมเดล’ (Model Maker) และ ‘ผู้ให้บริการโมเดล’ (Model Service Provider) ผ่านโครงการ ‘ไต้ฝุ่น’ (Typhoon) ซึ่งเป็น LLM ที่พัฒนาขึ้นเพื่อความสามารถทางภาษาไทยโดยเฉพาะในการเลือก Infrastructure สำหรับการพัฒนาโมเดล
กฤณพงษ์ เผยว่า SCB 10X ได้ร่วมมือกับ Together AI ซึ่งเป็น Decentralized Cloud Provider ที่สนับสนุนทีมพัฒนา Open-source เป็นหลัก โดย SCB 10X ได้สิทธิ์การเข้าถึงแบบ ‘Bare Metal Access’ ทำให้สามารถปรับแต่งโครงสร้างพื้นฐานให้เหมาะกับ Workflow ของทีมได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้สามารถทดลอง (Experiment) ได้หลาย ๆ อย่างพร้อมกัน สำหรับการให้บริการ ‘ไต้ฝุ่น API’ ก็ได้อาศัยความร่วมมือกับ Together AI เช่นกัน เพื่อจัดการเรื่องการขยายระบบอัตโนมัติ (Auto-scaling) รองรับปริมาณการใช้งานที่เคยพุ่งสูงขึ้นถึง 5 เท่าในบางเดือนโดยที่ทีมไม่ต้องกังวล
เหตุผลสำคัญที่เลือกเปิดเป็น Open-source คือเพื่อรับมือกับต้นทุนการพัฒนาที่สูงและโลก AI ที่เปลี่ยนแปลงเร็วมาก โดย SCB 10X ได้สร้างระบบนิเวศผ่านการจัด Workshop ร่วมกับพาร์ทเนอร์อย่าง Float16 Cloud เพื่อสอนการทำ Fine-tuning ต่อยอดจากโมเดลไต้ฝุ่น ปัจจุบัน นักพัฒนาสามารถเข้าถึงโมเดลไต้ฝุ่นได้สองช่องทาง คือดาวน์โหลดไปพัฒนาต่อเองผ่าน Hugging Face: SCB10X ซึ่งมีโมเดลหลากหลายทั้ง Typhoon LM, Audio, Vision, OCR และ Translate หรือใช้งานผ่าน ไต้ฝุ่น API ซึ่งมีทั้งเวอร์ชันฟรี (สำหรับทำ POC) และเวอร์ชัน Pro ที่มีค่าใช้จ่าย โดยโมเดล ไต้ฝุ่น 2 70B มีค่าใช้จ่ายประมาณ $0.88 ต่อ 1 ล้านโทเคน และโมเดล ใต้ฝุ่น 2.1 (Gemma-based) อยู่ที่ประมาณ $0.2 ต่อ 1 ล้านโทเคน
CiRA CORE พลิกโฉมการสร้าง AI ให้ง่ายแค่ ‘ลาก-วาง’
ธีรวัฒน์ ทองลอย ผู้ร่วมก่อตั้ง CiRA CORE ได้นำเสนอแพลตฟอร์มที่มุ่งลดช่องว่างทางทักษะ โดย CiRA CORE เป็นแพลตฟอร์ม AI ด้าน Computer Vision ในรูปแบบ Low-code/No-code แบบ ‘ลากและวาง’ (Drag and Drop) ธีรวัฒน์เล่าถึงแรงบันดาลใจว่า ในปี 2019 เขาพบว่าคอมพิวเตอร์ในโรงเรียนต่างจังหวัดบางแห่งยังเป็น Pentium 3 จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการปรับปรุง (Optimize) ระบบให้มีประสิทธิภาพสูงสุดจนสามารถรันโมเดล Convolutional Neural Network บนฮาร์ดแวร์พื้นฐานได้สำเร็จ
จุดเด่นของ CiRA CORE คือความยืดหยุ่นในการใช้งานซึ่งทำงานได้ทั้งบน Cloud หรือ On-premise ทำให้เข้าถึงได้ทุกกลุ่มตั้งแต่เด็กประถมจนถึงภาคอุตสาหกรรม โดยใช้เครื่องมือเดียวกัน ธีรวัฒน์ กล่าวว่า ทิศทางในอนาคตว่ากำลังพัฒนาให้ CiRA CORE รองรับเทคโนโลยี Agentic AI ซึ่งจะเปิดโอกาสให้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) สามารถเข้ามาสั่งการใช้งานเครื่องมือต่าง ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มได้โดยอัตโนมัติ
Super AI Engineer และการบุกเบิก ‘สิทธิบัตร AI’ ฉบับแรก ๆ ของไทย
ผศ.ดร.นงนุช เกตุ้ย อุปนายกสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIAT) และหัวหน้าโครงการ Super AI Engineer ผู้พัฒนากำลังคนด้าน AI และผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมและสิทธิบัตรจากการสร้างระบบ AI ได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการสร้าง ‘คน’ ซึ่งโครงการนี้ได้สร้างบุคลากร AI ไปแล้วกว่า 500 คน โดยมีผู้เข้าร่วมหลากหลายตั้งแต่นักศึกษาจนถึงผู้ใหญ่วัยทำงาน อายุสูงสุด 58 ปี โครงการฯ แก้ปัญหาเรื่องต้นทุน Infrastructure ที่สูงด้วยการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรหลายราย เช่น Lanta Supercomputer ของ สวทช. ซึ่งมีจุดเด่นเรื่องระบบการจัดคิวรันโมเดลที่ชัดเจน, Siam AI Data Cloud และ Google Cloud
ในมิติของทรัพย์สินทางปัญญา ผศ.ดร.นงนุช ได้ทำลายความเชื่อเดิม ๆ ด้วยการเปิดเผยว่านวัตกรรม AI สามารถจดสิทธิบัตรได้จริง โดยเธอได้จด “สิทธิบัตรการประดิษฐ์” (Invention Patent) จากผลงานระบบย่อความข่าวอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการจดสิทธิบัตรที่ ‘กระบวนการหรือกรอบแนวคิด’ (Framework) ที่มีความใหม่ มีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น และประยุกต์ใช้ในเชิงอุตสาหกรรมได้ ส่วนกรณีของ Generative AI นั้น ภาพที่ AI สร้างขึ้นเพียงอย่างเดียวไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้ แต่หากมนุษย์ผู้เชี่ยวชาญนำไปปรับแก้ต่อยอดจนเกิดเป็นผลงานชิ้นใหม่ เช่น ลายผ้าโบราณที่ปรับแก้จนสามารถทอขึ้นกี่ได้จริง ก็สามารถนำไปจด ‘สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์’ (Design Patent) ได้
ก้าวแรกใน 90 วันด้วยทรัพยากรจำกัด
สำหรับองค์กรขนาดเล็กหรือ Startup ที่มีงบประมาณ เวลา และกำลังคนจำกัด วิทยากรทั้งสามได้ให้ข้อสรุปร่วมกันว่า ก้าวแรกที่สำคัญที่สุดคือ การระบุปัญหาและโจทย์ทางธุรกิจ (Identify Problem) ให้ชัดเจน จากนั้นจึงเริ่มต้นจากโปรเจกต์เล็ก ๆ ที่ทำได้จริง พร้อมทั้งใช้ประโยชน์จากเครื่องมือฟรีและ Open-source ที่มีอยู่มากมายในปัจจุบัน เช่น Free Tier จากผู้ให้บริการ Cloud ต่าง ๆ หรือโมเดล ‘ไต้ฝุ่น’ จาก SCB 10X ประกอบกับการใช้แพลตฟอร์มอย่าง CiRA CORE เพื่อสร้างต้นแบบอย่างรวดเร็ว และท้ายที่สุด หากองค์กรขาดแคลนบุคลากร ก็สามารถสรรหาผู้มีความสามารถได้จากโครงการ Super AI Engineer ซึ่งพร้อมเชื่อมต่อนักพัฒนา AI รุ่นใหม่เข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมต่อไป