Share on
×

Share

ธุรกิจไทยในสนามรบ AI: Demand คือหัวใจนำสู่ความสำเร็จ

ผู้เชี่ยวชาญจากแวดวงปัญญาประดิษฐ์ชั้นนำของไทยร่วมถอดรหัสภูมิทัศน์ AI โดยชี้ว่าตลาดไทยเติบโตสูงด้วยมูลค่าปัจจุบันกว่า 4-5 หมื่นล้านบาท และมีศักยภาพพุ่งสู่ระดับแสนล้านในอีก 5 ปีข้างหน้า พร้อมแนะแนวทางธุรกิจให้มุ่งเน้นการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญ ชี้ช่องทางการนำ AI มาใช้จริงในองค์กร และเสนอแนวคิด “AI ทีมชาติ” เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลก

ภาพรวมตลาด AI ไทย: เติบโตท่ามกลางความท้าทาย

ในวงเสวนาหัวข้อ “From AI to Business Impact” บนเวที Creative Talk Conference 2025 (CTC 2025) ผู้เชี่ยวชาญได้ให้ภาพรวมตลาด AI ของไทยว่ากำลังอยู่ในช่วงขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดย ผศ.ดร.ชาญวิทย์ บุญช่วย นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีองค์กรใหญ่และบริษัทที่พยายามพัฒนา AI ในประเทศรวมกันราว 200-300 บริษัท และเฉพาะในสมาคม AIEAT ก็มีการเติบโตของสมาชิกจากประมาณ 40 บริษัทเป็น 60 บริษัทในปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากกลุ่มองค์กรแล้ว ยังมีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มสนใจ AI ในฐานะผู้ใช้งาน หรือทำเป็นงานอดิเรก ซึ่งสะท้อนถึงระบบนิเวศที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังชี้ว่าข่าวดีคือลูกค้าในปัจจุบันมีความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยี AI มากขึ้นเมื่อเทียบกับ 5 ปีก่อน ที่ผู้พัฒนาแทบจะต้องเริ่มต้นจากการสอนว่า AI คืออะไร แต่ความท้าทายยังคงอยู่ในการเปลี่ยนความสนใจให้เป็นการตัดสินใจลงทุนจริง ซึ่งวัฒนธรรมองค์กรไทยมักจะต้องผ่านกระบวนการพิสูจน์แนวคิด (Proof of Concept) ทดลองแล้วทดลองอีก กว่าจะมีการลงทุนจริงจัง

กลยุทธ์ธุรกิจในยุค AI: ‘ผู้สร้าง’ หรือ ‘ผู้ใช้’ และความสำคัญของ Demand

ประเด็นสำคัญที่ถูกเน้นย้ำคือการวางตำแหน่งทางธุรกิจให้ชัดเจน โดยดร.พณชิต กิตติปัญญางาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง ZTRUS ได้จำแนกผู้ประกอบการออกเป็นสองกลุ่มหลักคือ “ผู้สร้าง AI” ซึ่งเป็นบริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรงดังเช่นธุรกิจของตนที่สร้าง AI สำหรับทำงานแทนนักบัญชีเพื่อจัดการเอกสารโดยอัตโนมัติ และอีกกลุ่มคือ “ผู้ใช้ AI” ซึ่งคือธุรกิจทั่วไปที่นำ AI มาเป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ

ดร.พณชิต ได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับธุรกิจผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้เช่นผ้าอนามัย ว่าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถนำ AI มาสร้างเป็นตัวผลิตภัณฑ์ได้โดยตรง เพื่อชี้ให้เห็นว่าหัวใจของการทำธุรกิจไม่ได้อยู่ที่ว่าต้องมี AI หรือไม่ แต่คือความสามารถในการเข้าถึงและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ส่วน AI นั้นเป็นเพียงเครื่องมือที่อาจจะช่วยให้ธุรกิจสามารถขยายผล หรือเข้าถึงลูกค้าได้แม่นยำขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำลง

สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ดร.พณชิต ได้ให้คำแนะนำที่ชัดเจนว่าไม่ควรกังวลเรื่องการลงทุนใน AI จนละเลยหัวใจหลักของธุรกิจ โดยย้ำว่าความล้มเหลวในการแสวงหาความต้องการใหม่ๆ ของตลาด ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเติบโตของรายได้นั้น ถือเป็นความเสี่ยงที่ร้ายแรงกว่าการมีต้นทุนที่สูงกว่าคู่แข่ง ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นว่าการรักษาและสร้างการเติบโตของรายได้เป็นปัญหาที่สำคัญกว่าการลดต้นทุนเพียงอย่างเดียวในสภาวะที่ตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

แนวทางปฏิบัติสู่องค์กร AI: จากระดับบุคคลสู่กระบวนการทางธุรกิจ

โชค วิศวโยธิน ผู้ก่อตั้งกลุ่ม “AI เพื่อธุรกิจและสังคม” ได้นำเสนอกรอบการทำงาน (Framework) ที่เป็นระบบเพื่อนำ AI มาปรับใช้ในองค์กร โดยแบ่งเป็น 3 ระดับชั้น เริ่มจาก 1.ระดับบุคคล คือการส่งเสริมให้บุคลากรเรียนรู้การใช้เครื่องมือ ซึ่งโชค ได้เปรียบเทียบกับโปรแกรม Excel ที่ออกมานานกว่า 40 ปี แต่คนในองค์กรก็ยังใช้งานได้เก่งไม่เท่ากัน พร้อมให้ข้อสังเกตว่าไม่สามารถคาดหวังให้บุคลากรทุกคนมีความสามารถในการใช้ AI ได้ในระดับเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่อาจอาศัยการพัฒนาบุคลากรเพียงอย่างเดียวในการขับเคลื่อนทั้งองค์กรได้

2. ระดับกระบวนการทำงาน (Workflow) คือการนำ AI เข้าไปฝังในระบบงานเพื่อให้เกิดกระบวนการที่มีมาตรฐาน ทำซ้ำได้ และขยายผลได้ และ 3.ระดับธุรกิจ คือการใช้ AI พัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการเพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่ลูกค้าโดยตรง โดยต้องตอบคำถามให้ได้ว่าลูกค้าจะได้รับประโยชน์อะไรจากเทคโนโลยีนี้

ก้าวสู่เวทีโลก: การแข่งขัน ความร่วมมือ และความท้าทายทางเทคนิค

เมื่อมองในภาพใหญ่ระดับสากล ดร.พณชิต ชี้ให้เห็นว่าความต้องการเทคโนโลยีในตลาดที่พัฒนาแล้วมักจะนำหน้าประเทศไทยอยู่ราว 3-5 ปี ดังนั้น หากมัวแต่วิ่งตามความต้องการในประเทศ ก็อาจแข่งขันกับผู้เล่นต่างชาติที่พัฒนาผลิตภัณฑ์มาล่วงหน้าแล้วได้ยาก ดร.พณชิต แนะนำให้นักลงทุนและผู้ประกอบการที่สนใจเทคโนโลยี AI ควรมองหาความต้องการในตลาดโลกเป็นอันดับแรก 

ขณะเดียวกันแนวคิด “AI ทีมชาติ” ก็เกิดขึ้นจากการที่ผู้ประกอบการไทยหลายรายพบว่าตนมีศักยภาพพอที่จะแข่งขันกับผู้เล่นระดับโลกได้ในบางตลาด จึงเกิดความคิดที่จะรวมตัวกันเพื่อบุกตลาดต่างประเทศและนำรายได้กลับสู่ประเทศไทย 

นอกจากนี้ ยังมีการอภิปรายถึงประเด็นทางเทคนิคอย่าง “Hallucination” หรือการที่ AI สร้างข้อมูลผิดพลาด ซึ่ง ดร.พณชิต อธิบายให้เข้าใจง่ายโดยเปรียบเทียบกับการที่มนุษย์ไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญสองคนในเรื่องเดียวกัน แต่กลับได้รับความเห็นที่ไม่ตรงกันทั้งหมด (Second Opinion) ซึ่งนั่นคือรูปแบบหนึ่งของ Hallucination การจะควบคุม AI จึงต้องอาศัยความรู้เฉพาะทางของแต่ละอุตสาหกรรม และความรู้เฉพาะขององค์กรเข้ามากำกับดูแล

มองให้ไกลกว่าซอฟต์แวร์และผลกระทบต่อตลาดแรงงาน

โอกาสทางธุรกิจจาก AI ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การพัฒนาซอฟต์แวร์ แต่ยังกระจายตัวอยู่ตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เช่น ธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าทองแดงหรืออุปกรณ์ Wi-Fi Router สำหรับ Data Center ซึ่งเปรียบเสมือนผู้ผลิตอาหาร (ไฟฟ้าและน้ำ) ให้กับ AI 

ขณะเดียวกัน ผศ.ดร.ชาญวิทย์ ได้กล่าวถึงผลกระทบต่อตลาดแรงงานว่า แม้งานเก่า ๆ จะถูกแทนที่ แต่ข้อมูลจากบริษัทสำรวจระดับโลกหลายแห่งชี้ตรงกันว่าจำนวนงานสุทธิ (Net Job) จะเพิ่มขึ้น สิ่งสำคัญคือการปรับตัวและเรียนรู้ทักษะใหม่ตลอดชีวิต ผศ.ดร.ชาญวิทย์ยังได้ยกตัวอย่างอาชีพใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น ที่ปรึกษาการหาคุณค่าของชีวิตมนุษย์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการวางชั้นความรู้เพื่อสอน AI เพื่อแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของตลาดแรงงานที่จะเกิดขึ้น และตอกย้ำว่าแม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปเพียงใด แต่ความคิดสร้างสรรค์ (Creative Intelligence) และความเป็นมนุษย์จะยังคงเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นที่ต้องการเสมอไป

×

Share

ผู้เขียน