Share on
×

Share

พันธมิตรทางนวัตกรรม: ทางรอดและทางรุ่งสู่ความยั่งยืนระดับโลก

ในยุคที่โลกเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความเหลื่อมล้ำทางสังคม หรือความผันผวนทางเศรษฐกิจ “นวัตกรรม” ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการหาทางออก และเมื่อพูดถึงการสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในระดับโลก การมี “พันธมิตรทางนวัตกรรม” ที่แข็งแกร่งคือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง

งานสัมมนา “SITE 2025” มหกรรมนวัตกรรมและสตาร์ตอัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ภายใต้แนวคิด “Global Innovation Partnership – AI & Sustainability: The Next Era of Innovation” ได้เปิดเวทีเสวนาในหัวข้อ “Innovation Partnership Towards Global Sustainability Opportunity” เพื่อตอบคำถามสำคัญที่ว่า “พันธมิตรทางนวัตกรรมจะสร้างโอกาสด้านความยั่งยืนในระดับโลกได้อย่างไร” โดยเชิญผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วนมาร่วมแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับความจำเป็นของการมีพันธมิตร ความท้าทาย และข้อแนะนำในการสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความยั่งยืนในระดับโลก

ทำไมต้องจับมือ? พลังของพันธมิตรนวัตกรรม

ผู้ร่วมเสวนาต่างเห็นพ้องต้องกันว่า การสร้างนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนในระดับโลกนั้นไม่สามารถทำได้โดยลำพัง ความซับซ้อนของปัญหาที่โลกกำลังเผชิญ รวมถึงข้อจำกัดด้านทรัพยากร ความรู้ และประสบการณ์ ทำให้การผนึกกำลังกันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

ผศ.ดร.พรพรหม สุธาทร ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมการเปลี่ยนแปลง สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) กล่าวว่า นวัตกรรมไม่จำเป็นต้องเป็นเพียงเรื่องของเทคโนโลยีเสมอไป แต่อาจหมายถึงสิ่งใหม่ ๆ ที่ช่วยแก้ไขปัญหาให้กับสังคมหรืออุตสาหกรรมได้ ยกตัวอย่าง หลักสูตรร่วมผลิตระหว่าง NIDA กับ Thai Flight Training ของการบินไทย ซึ่งเป็นหลักสูตรปริญญาโทด้านการจัดการการบินเพื่อความยั่งยืน ถือเป็นนวัตกรรมการเรียนการสอนที่มุ่งตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมการบินในการมุ่งสู่ Net Zero ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยากหากปราศจากความร่วมมือ

“NIDA วางรากฐานเรื่องนวัตกรรมไว้หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมด้านหลักสูตร หรือนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี เพื่อรองรับผู้ที่สนใจเรื่องเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงเพื่อความยั่งยืน” ผศ.ดร. พรพรหม กล่าว และยังยกตัวอย่างศูนย์วิจัยการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart Compact City ของ NIDA ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นต้นแบบ ซึ่งเป็น Hub ในการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งต่างๆ โดยมุ่งเป้าให้ย่านบางกะปิเป็น Compact City ที่ยั่งยืน

ในมุมของภาคเอกชน สุรศักดิ์ วรรณะพาหุณ Vice President – Glass Innovation & Sustainability บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ชี้ให้เห็นว่า องค์กรที่มีความหลากหลายทางธุรกิจและอยู่ในอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างมั่นคง (Stabilized S-Curve) อย่าง BJC จำเป็นต้องหานวัตกรรมใหม่ ๆ มาเติมเต็มพอร์ตโฟลิโอ และรักษาธุรกิจเดิมให้ยั่งยืน ดังนั้น การพึ่งพาตนเองเพียงลำพังนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป

“เมื่อโครงสร้างธุรกิจของเราใหญ่และหลากหลาย เราคงไม่สามารถทำอะไรได้ทั้งหมดด้วยตัวเอง นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เรามองหาพันธมิตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของ Deglobalization ที่เราจำเป็นต้องพึ่งพาตนเองและใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศมากขึ้น” สุรศักดิ์อธิบาย

ด้านอดิพล ตันนิรันดร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิสอัพ จำกัด ซึ่งเป็น Deep Tech Accelerator จากสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) ซึ่งก่อตั้งโดย กลุ่มบริษัท ปตท. เน้นว่า การพัฒนานวัตกรรมจากงานวิจัยสู่การใช้งานจริงหรือเชิงพาณิชย์ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาควิชาการและธุรกิจ การมีพันธมิตรจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการตอบโจทย์ความต้องการของตลาด ยกตัวอย่าง ความร่วมมือกับ ปตท. เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืน เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียนและกรีนไฮโดรเจน

“เรามุ่งเน้นการปลุกปั้น Entrepreneur และสรรหา CEO หรือ CMO มาจับคู่กับ CTO หรือเทคโนโลยีที่เรามี การ Collaboration จะทำให้นวัตกรรมจากงานวิจัยสามารถไปต่อได้ สิ่งสำคัญคือการจับคู่กับภาคธุรกิจที่สามารถบอกโจทย์กับสตาร์ตอัพได้ว่าต้องการทิศทางเทคโนโลยีด้านไหน เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาและต่อยอดงานวิจัย มุ่งสู่ความยั่งยืน” อดิพล กล่าว

ดร.ตฤณ ทวิธารานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจบริการดิจิทัล บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด สะท้อนภาพจากประสบการณ์ตรงขององค์กรเก่าแก่อายุกว่า 142 ปี ที่เผชิญหน้ากับ Digital Disruption และการแข่งขันที่รุนแรงจนประสบภาวะขาดทุนว่า การทำธุรกิจแบบ “Closed Innovation” หรือการคิดค้นพัฒนาด้วยตัวเองทั้งหมดนั้นไม่สามารถตอบโจทย์ได้อีกต่อไป

“เมื่อก่อนเราไม่เคยต้องแข่งกับใคร แต่ตอนนี้เราเจอ Digital Disruption และสงครามราคาจากการเข้ามาของทุนต่างประเทศ เราเปิดรับพาร์ตเนอร์ชิพ 100% เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรม นั่นคือสิ่งที่เราต้องทำ เพื่อยกระดับและขับเคลื่อนองค์กรให้ยั่งยืน” ดร.ตฤณ กล่าวและชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการพึ่งพาภายนอก แม้กระทั่งการลงทุนด้าน R&D ร่วมกับพันธมิตรต่างชาติมูลค่านับร้อยล้านบาท เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง

หาคู่แท้ไม่ง่าย: ความท้าทายในการร่วมมือนวัตกรรม

แม้ว่าการมีพันธมิตรจะเป็นสิ่งจำเป็น แต่การหาพันธมิตรที่ดีและตรงความต้องการนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ร่วมเสวนาต่างยอมรับว่ามีหลากหลายความท้าทายที่ต้องเผชิญ

ประการแรกคือ ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและความคาดหวัง ผศ.ดร. พรพรหม ชี้ว่าเมื่อ 2 องค์กรมาเจอกัน ย่อมมีความแตกต่างทางวัฒนธรรม ความคิด และผลประโยชน์ที่แต่ละฝ่ายต้องการ ภาคธุรกิจมักต้องการความรวดเร็วในการนำนวัตกรรมออกสู่ตลาด ในขณะที่สถาบันการศึกษาอาจมีกระบวนการที่เน้นการทดลอง ทดสอบ และการวิจัยที่ใช้เวลานานกว่า

“NIDA ในฐานะหน่วยงานรัฐ เราไม่ได้มุ่งแสวงหากำไร แต่บางครั้งธุรกิจภายนอกก็มีการแข่งขันสูงและมีความคาดหวังสูง หากความร่วมมือไม่ตรงไปตรงมา เราจะไม่เป็นพาร์ตเนอร์ชิพด้วย เพราะเราต้องรักษาเรื่อง Governance ของ NIDA ไว้”

ประการที่สองคือ การหา “คู่แท้” ทางนวัตกรรม อดิพล ยอมรับว่า การมีพันธมิตรจะช่วยลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจ แต่กว่าจะประสบความสำเร็จได้ ต้องใช้เวลาและการปรับตัวให้เข้าหากันพอสมควร รวมถึงต้องใช้ความพยายามอย่างมาก

“ระหว่างทางย่อมมีอุปสรรค การพูดคุยและปรับจูนกันอย่างต่อเนื่องจึงจำเป็น เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายสามารถสนับสนุนซึ่งกันและกัน และได้ Solution ที่ตรงกับความต้องการ” อดิพลกล่าว

ประการที่สามคือ ความไม่แน่นอนของเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลง ดร.ตฤณ ชี้ว่าโลกมีความไม่แน่นอนสูง เทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นและจากไปอย่างรวดเร็ว (เช่น Metaverse ที่เคยถูกคาดการณ์ว่าจะมาแรง) ทำให้การลงทุนในนวัตกรรมมีความเสี่ยงสูง การมีพันธมิตรจึงเป็นวิธีหนึ่งในการลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนเหล่านี้ แต่การมีพันธมิตรไม่ใช่แค่คนนอก แต่ยังหมายถึงพันธมิตรภายในองค์กรด้วย

ทางออกของไทย: สร้างสรรค์นวัตกรรมสู่ความยั่งยืนระดับโลก

จากประสบการณ์และความท้าทายที่กล่าวมา ผู้ร่วมเสวนาได้ร่วมเสนอแนะแนวทางในการมองหาและสร้างนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความยั่งยืนในระดับโลก

สิ่งสำคัญคือ การเน้นการสร้างคุณค่าร่วม (Shared Value)  โดยดร.ตฤณ กล่าวว่า ผลลัพธ์ของการมีพันธมิตรที่ดีคือการลดความเสี่ยง (De-risk) การปรับตัว (Adaptability) และการสร้างคุณค่าร่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำ Transformation ขององค์กรขนาดใหญ่ เช่น ไปรษณีย์ไทย ซึ่งมีพนักงานกว่า 40,000 คน และสาขาเกือบ 5,000 แห่ง การมี Shared Value จะทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้ง่ายขึ้น เพราะทุกฝ่ายรู้สึกว่าตนเองได้รับประโยชน์สูงสุดร่วมกัน  และจะช่วยให้การร่วมมือกับพันธมิตรภายนอกง่ายขึ้น

“พื้นฐานเบื้องต้นของการสร้างนวัตกรรมไม่ใช่เรื่องเทคโนโลยี แต่คือการเปลี่ยนแปลงภายใน (Social Engineering) หรือการทำให้คนรู้สึกอยากร่วมมือด้วย” ดร.ตฤณกล่าว

“การสร้างนวัตกรรมที่ดีไม่ได้มองแค่ผลประโยชน์ของ Shareholders หรือ Stakeholders เท่านั้น แต่ต้องมองถึง Global Planet ด้วยว่าโลกของเราดีขึ้นหรือไม่” ดร.ตฤณ กล่าวเสริม

“ถ้าองค์กรโต แต่โลกแย่ หรือลูกค้าหรือ Stakeholders ไม่ได้รับ Value ที่เท่าเทียมกัน ต่อให้มีนวัตกรรมที่ดีแค่ไหนก็ตาม สุดท้ายแล้วความยั่งยืนก็ไม่เกิด”

นอกจากนี้ การลงทุนใน “คน” และ “การศึกษา” ก็เป็นรากฐานสำคัญ ซึ่งสุรศักดิ์ เชื่อว่า พื้นฐานของการสร้างนวัตกรรมคือการศึกษาของคน การสร้างนวัตกรรมต้องเริ่มจากการปรับ Mindset ของคนรุ่นใหม่ผ่านการศึกษาและการปลูกฝังทักษะด้านเทคโนโลยีตั้งแต่เยาว์วัย การเพิ่มสัดส่วนการเรียนรู้ด้านนวัตกรรมจะช่วยสร้าง Innovative Thinking และ Critical Mass (มวลวิกฤต) ที่จำเป็นสำหรับการพัฒนานวัตกรรมในระยะยาว

“กระบวนการของนวัตกรรมไม่ได้เกิดขึ้นใน 5 ปี แต่ต้องใช้เวลา เราควรให้ความสนใจกับการสร้างการตระหนักรู้ด้านนวัตกรรมให้กับคนรุ่นใหม่ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต” สุรศักดิ์ กล่าว

ผศ.ดร. พรพรหม เสนอแนะให้มี Hub หรือแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงกลุ่มคนที่มีความคิด องค์กรที่มีความต้องการ คนที่มีเทคโนโลยี และผู้ที่มีทรัพยากร ให้มาเจอกัน เพื่อลดช่องว่างและส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมได้จริง

เขาเตือนถึงความท้าทายจากการพึ่งพา AI หรือเทคโนโลยีมากเกินไป จนอาจทำให้มนุษย์ขาดการคิดนอกกรอบหรือการพัฒนาความคิดริเริ่มใหม่ๆ

“นวัตกรรมต้องอาศัยการคิดสิ่งใหม่ ๆ ออกมา คิดถึงปัญหาและแก้ Pain Point การใช้เทคโนโลยีต้องรู้เท่าทัน ไม่ให้เทคโนโลยีครอบงำเรา”

สุดท้ายคือการ พลิกความท้าทายเป็นโอกาส ผศ.ดร. พรพรหม ชี้ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจ ทั้งภาคการท่องเที่ยวที่หดตัว และการส่งออกที่แข่งขันยากขึ้น จึงจำเป็นต้องหานวัตกรรมใหม่ ๆ มาช่วยให้ประเทศอยู่รอด

“เราต้องหานวัตกรรมอะไรบางอย่างที่ทำให้ประเทศไทยอยู่รอดในเฟสต่อไปได้ เช่น การนำศักยภาพด้าน Medical Hub มาต่อยอด เพื่อดึงเม็ดเงินจากต่างชาติ หรือการหานวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาจำนวนประชากรที่ลดลง หรือรองรับสังคมผู้สูงอายุ”

บทสรุปจากเวทีเสวนา

การสร้างพันธมิตรทางนวัตกรรมไม่ใช่ทางเลือก แต่คือกลยุทธ์จำเป็นที่จะช่วยให้ประเทศไทยรับมือกับความไม่แน่นอนของโลก ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ลดความเสี่ยง และสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้กับสังคม ในยุคที่ไม่มีองค์กรใดสามารถสร้างอนาคตได้เพียงลำพัง การเปิดใจร่วมมือ จับมือกันให้มั่น คือคำตอบของการเปลี่ยนแปลง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘ข้าวปลาวาฬ’ ธุรกิจ Food Tech ที่น่าจับตา

AIS ชู 3 นวัตกรรมสำคัญ ตอบโจทย์การทำงานภาคธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

×

Share

ผู้เขียน