สร้างสุขทุกมิติผสานเทคโนโลยีนวัตกรรมและความเข้าใจในลูกค้า เมืองไทยประกันชีวิตมุ่งนำเสนอบริการประกันที่ครอบคลุม พร้อมตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย เพื่อให้สอดคล้องกับทุกไลฟ์สไตล์และทุกช่วงวัย ภายใต้สีบานเย็นสีดวงอาทิตย์ยามเช้าที่สะท้อนถึงความสุข
สาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิตจำกัด (มหาชน) หรือ MTL กล่าวถึง วิสัยทัศน์และแนวทางการบริหารที่ชัดเจน โดยมุ่งเน้นการเติบโตที่ยั่งยืนและการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า พนักงาน และสังคม เมืองไทยประกันชีวิตเชื่อมั่นว่าการผสมผสานระหว่าง นวัตกรรม และ ความเข้าใจในความต้องการของผู้บริโภค จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์และบริการตอบโจทย์ทุกช่วงชีวิตของคนไทยได้จริง
“เราตั้งใจส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าทุกท่าน ด้วยความเป็นมืออาชีพ ภายใต้หลักการที่โปร่งใส ใส่ใจความยั่งยืน และพร้อมมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมโลก”
ทิศทางและเป้าหมายของเมืองไทยประกันชีวิต
เมืองไทยประกันชีวิตให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์และบริการ เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงแนวคิดเดิมที่เน้นการผลิต (Made In) สู่การให้ความสำคัญกับข้อมูลเชิงลึก (Insights) และการเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงวัย รวมถึงการปรับตัวให้สอดคล้องกับยุคโซเชียลมีเดียที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค
สร้างแนวทางการบริหารความเสี่ยง การออม และการดูแลสุขภาพที่ตอบโจทย์ สังคมผู้สูงอายุที่กำลังเติบโตในประเทศไทย พร้อมเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ ให้ตรงกับ ความต้องการเฉพาะบุคคล (Personalization) โดยยังคงยึดมั่นในหลักการ “ยกระดับความสุขให้กับทุกคน” เพราะความสุขคือทุกอย่าง ภายใต้สีบานเย็นที่สื่อถึงภาพลักษณ์ของบริษัท
ในปีที่ผ่านมา บริษัทได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละกลุ่ม (Segment) ซึ่งมีลูกค้ารวมกันกว่า 3.8 ล้านคน และเบี้ยประกันที่ได้รับในปีที่แล้วรวมกว่า 71,800 ล้านบาท ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการตอบรับดี เช่น ประกันชีวิต 99 ปี ยูนิตลิงค์ และยูนิเวอร์แซลไลฟ์ ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าชาวไทยในเรื่องของการบริหารความเสี่ยงและการดูแลครอบครัวในระยะยาว
ยังคงมุ่งเน้นการขยายตลาด เช่น เวียดนาม กัมพูชา ลาว เมียนมา ซึ่งในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา แม้จะมีความท้าทายจากดราม่าต่างๆ แต่บริษัทเริ่มเห็นการฟื้นตัวในปีที่ผ่านมา เน้นย้ำให้ความสำคัญในการปรับกลยุทธ์โดยใช้หลากหลายช่องทาง เช่น ตัวแทนขาย (Agents), แบงก์แอสชัวรันส์ (Bancassurance), การเป็นพันธมิตรกับองค์กรต่างๆ (Affinity) และดิจิตอล (Digital) เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้มากขึ้น
บริษัทมองว่า Open Mindset เป็นหัวใจสำคัญของการทำงานในยุคใหม่ โดยทีมงานทุกระดับ ตั้งแต่ตัวแทน พนักงาน ไปจนถึงผู้บริหาร ต้องทำงานร่วมกันแบบเปิดกว้าง ยอมรับแนวคิดใหม่ๆ และเปิดโอกาสให้ทุกคนในองค์กรมีส่วนร่วมในการพัฒนาและตัดสินใจ ตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น การออกผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากทีมงานเจนใหม่ ซึ่งช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างในแต่ละเจเนอเรชัน
เน้นย้ำถึงการผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับกระบวนการทำงาน เช่น การนำข้อมูล (Data) และเทคโนโลยีมาวิเคราะห์ออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล (Personalization) รวมถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในกระบวนการขายและการบริการที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นจนจบ
สนับสนุนให้ผู้บริหารรุ่นเก่าเรียนรู้จากคนรุ่นใหม่ เช่นเดียวกับการที่ผู้ใหญ่ในครอบครัวอาจพึ่งพาลูกหลานในการจองตั๋วหรือใช้งานอุปกรณ์ไอที นี่คือแนวคิดที่ช่วยสร้างการเรียนรู้และปรับตัวขององค์กร

ทั้งนี้ยังให้ความสำคัญของการพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถรอบด้าน โดยแบ่งเป็น 3 รูปแบบของความเชี่ยวชาญ
- พาย (Pi-shaped skills) บุคลากรที่มีความรู้เชิงลึกในสองด้าน เช่น คณิตศาสตร์และการวิเคราะห์สถานการณ์ทั่วไป (Scenario Analysis) พร้อมเข้าใจมุมมองกว้าง ซึ่งช่วยให้สามารถปรับตัวและแก้ไขปัญหาในหลากหลายสถานการณ์ได้
- โครม (Comb-shaped skills) บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในหลายด้าน ทั้งเชิงลึกและเชิงกว้าง เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การใช้เทคโนโลยี และความเข้าใจในสถานการณ์เฉพาะ ซึ่งเป็นบุคลากรที่เหมาะสมสำหรับการรับมือกับความท้าทายในอนาคต
- ไอ (I-shaped skills) ความเชี่ยวชาญในด้านเดียวแบบเชิงลึก แม้ยังคงมีบทบาทสำคัญ แต่ในอนาคตบุคลากรจะต้องพัฒนาความรู้และความสามารถในรูปแบบพายหรือโครมเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป
บริษัทเตรียมปรับโครงสร้างและสนับสนุนบุคลากรให้มีความพร้อมในการตอบสนองต่อโลกยุคใหม่ รวมถึงการพัฒนาทักษะแนวลึกและแนวกว้างที่จำเป็น
บานเย็นบานสะพั่งทั่วประเทศไทย

มี Product ที่ดีแล้ว ต้องให้คนเข้าถึงได้ง่าย จึงมุ่งมั่นปรับตัวตามเทรนด์เทคโนโลยีเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าในระยะยาว
เมืองไทยประกันชีวิต มุ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงด้าน ESG (Environmental, Social, Governance) ผ่านทุกมิติขององค์กร ที่ไม่ใช่เพียงแค่กิจกรรม CSR แต่คือการปรับโครงสร้างและกลยุทธ์เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental): Decarbonization & Sustainable Investment

- กลยุทธ์ลดคาร์บอน (Decarbonization Strategy) เมืองไทยประกันชีวิตตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2030 สำหรับ Scope 1 และ Scope 2 โดยดำเนินการติดตั้งโซลาร์รูฟบนอาคารสำนักงาน และเปลี่ยนการใช้พลังงานมาเป็นระบบรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และไฮบริดในองค์กร
- การลงทุนที่ยั่งยืน (Sustainable Investment) บริษัทบริหารทรัพยากรจากกรมธรรม์ที่ขายได้ มูลค่ารวมกว่า 640,000 ล้านบาท โดยนำ 90% ของการลงทุนเข้าสู่โครงการสีเขียว เช่น การลงทุนในโครงการคาร์บอนเครดิตและพลังงานทดแทน ซึ่งถือเป็นการขับเคลื่อน Scope 3 ผ่าน Transition Finance
- มาตรฐานอาคารสีเขียวอาคารสำนักงานได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับ Green Building Standards เพื่อลดการใช้พลังงานจากแหล่งที่ไม่ยั่งยืน
ด้านสังคม (Social) Democratizing Insurance & Health and Well-being
- ผลิตภัณฑ์และบริการประกันที่ครอบคลุมและเข้าถึงได้บริษัทพัฒนาประกันเฉพาะกลุ่ม เช่น ประกันสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรังและผู้ที่เคยป่วยด้วยโรคร้ายแรง รวมถึงยูนิตลิงค์ที่ผูกกับการลงทุนในโครงการสีเขียว
- ส่งเสริมความรู้ด้านการเงินและการประกันภัย (Financial & Insurance Literacy) สนับสนุนการวางแผนการเงินในครอบครัว เช่น การวางแผนมรดกเพื่อลดภาระภาษี พร้อมจัดอบรมให้ความรู้เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว
- การพัฒนาชุมชนโครงการรีไซเคิลขวดพลาสติกเพื่อนำมาผลิตผ้าห่มแจกจ่ายในฤดูหนาว เป็นตัวอย่างของการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการสร้างผลกระทบเชิงบวกในสังคม
ด้านธรรมาภิบาล (Governance): Good Corporate Governance & Risk Management
- ความโปร่งใสและการปฏิบัติตามกฎหมายบริษัทให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น PDPA พร้อมพัฒนากระบวนการทำงานที่โปร่งใสและปลอดภัย เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้า
- การบริหารความเสี่ยงและมาตรฐานสากลบริษัทยึดมั่นในมาตรฐาน ISO และการจัดการคาร์บอนเครดิต เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
แม้ค่าใช้จ่ายในการลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อม เช่น การปรับมาตรฐานอาคารหรือการลงทุนในโครงการสีเขียวจะสูง แต่เมืองไทยประกันชีวิตยังคงยืนหยัดในพันธกิจที่จะเป็นองค์กร Zero Carbon ภายในปี 2030 พร้อมสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนทั้งในประเทศไทยและระดับสากล
ผลงานที่ผ่านมาสะท้อนความสำเร็จและการเติบโตขององค์กรเมืองไทยประกันชีวิตมุ่งเน้นการทำงานด้วยแนวคิด Insight-Out ที่ให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก และยังสามารถปรับตัวได้แม้ในช่วงที่ธุรกิจประกันชีวิตเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจ ในปี 2021 บริษัทประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่น ด้วยเบี้ยประกันที่เพิ่มขึ้นถึง 10% จากปีก่อนหน้า และมีมูลค่ารวมสูงกว่าปี 2018 แสดงถึงศักยภาพในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
บริษัทยังคงยึดมั่นในหลักการบริหารจัดการที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ทั้งในด้านกฎหมายและบัญชี รวมถึงการจัดการเบี้ยประกันแบบ Single Premium ที่ทยอยรับรู้รายได้ตามอายุสัญญา การปรับตัวเหล่านี้สะท้อนถึงการบริหารที่ยืดหยุ่นและการมองการณ์ไกล เพื่อความมั่นคงและยั่งยืนของธุรกิจ ให้ความสำคัญกับการสร้างความไว้วางใจในระดับสากล โดยได้รับการจัดอันดับจาก Fitch Ratings ซึ่งช่วยเสริมความน่าเชื่อถือ พร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคล (Personalization) เช่น ประกันสุขภาพที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์เฉพาะกลุ่ม ความสำเร็จเหล่านี้สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของเมืองไทยประกันชีวิตในฐานะผู้นำในตลาดประกันชีวิตที่สร้างทั้งคุณค่าและความยั่งยืนในระยะยาว
โครงสร้าง Co-Pay หรือ Co-Payment ก้าวใหม่ของการประกันสุขภาพ
นอกจากนี้ สาระเสริมเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างเบี้ยประกันสุขภาพระบบ Co-Payment การปรับเปลี่ยนโครงสร้างกรมธรรม์ใหม่จะมีผลเฉพาะกับการขายใหม่เท่านั้น และไม่มีผลกระทบต่อกรมธรรม์เดิม โดยบริษัทมีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับมาตรฐานทางการแพทย์และความยั่งยืน โดยทำงานร่วมกับทั้งอุตสาหกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพและลดความเสี่ยงในระยะยาว รวมถึงการพัฒนาโปรแกรมใหม่ๆ เช่น การเพิ่มสิทธิประโยชน์ในประกันสุขภาพให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงอายุ
รู้จักระบบ Co-Payment การปรับเปลี่ยนใหม่ในประกันสุขภาพปี 2568
ระบบประกันสุขภาพแบบ Co-Payment เตรียมปรับเปลี่ยนในปี 2568 โดยกำหนดให้ประชาชนต้องร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลในอัตรา 30%-50% หากการเคลมค่าใช้จ่ายเกินข้อกำหนดที่กำหนดไว้ ข้อดีประชาชนที่มีประกันสุขภาพอยู่แล้ว จะไม่เข้าเงื่อนไข Co-Payment โรงพยาบาล ลดความแออัด เพราะจะมีแต่ผู้ป่วยหนักไปใช้บริการ ส่งเสริมให้ผู้คนดูแลสุขภาพมากขึ้น ข้อเสียคนที่จะซื้อประกันสุขภาพรายใหม่ทุกคนจะต้องถูกแสกนโดย Co-Payment หากเข้าเงื่อนไข ปีถัดไปร่วมจ่ายค่ารักษาทุกรายกรณี 30%-50% ของค่ารักษา
อย่างไรก็ตาม ระบบ Co-Payment อาจส่งผลดีต่อประชาชนในระยะยาว เช่น ช่วยกระตุ้นให้ประชาชนใส่ใจดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น เพื่อลดโอกาสการเจ็บป่วยที่ไม่จำเป็น และสามารถช่วยควบคุมค่าเบี้ยประกันสุขภาพให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เนื่องจากบริษัทประกันสามารถลดภาระความเสี่ยงจากการเคลมเกินความจำเป็น นอกจากนี้ ระบบนี้ยังสามารถส่งเสริมความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการสุขภาพ เพราะหากมีการบริหารเงื่อนไขที่โปร่งใสและยุติธรรม ประชาชนจะได้รับบริการที่มีคุณภาพในอัตราค่ารักษาที่เหมาะสม
เมืองไทยประกันชีวิตเดินหน้ายกระดับความสุขทุกช่วงวัย ด้วยการผสานเทคโนโลยีและนวัตกรรม สร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคลที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ภายใต้แนวคิด ESG เพื่อความยั่งยืนในสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2030 พร้อมพัฒนาบุคลากรด้วยทักษะรอบด้านเพื่อรับมืออนาคต มิติของสุขภาพ ระบบ Copayment ถูกนำมาใช้เพื่อช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายและลดการเคลมที่ไม่จำเป็น แม้จะเพิ่มความรับผิดชอบให้กับผู้รับประกัน แต่สามารถช่วยกระตุ้นให้คนดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น