ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีแห่งอนาคต แต่เป็นเครื่องมือชี้วัดความสามารถในการแข่งขันที่สำคัญที่สุดในปัจจุบัน การวางยุทธศาสตร์เพื่อปรับใช้ AI จึงกลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทุกภาคส่วนต้องขบคิด ตั้งแต่ระดับบุคคล องค์กร ไปจนถึงระดับประเทศ ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) เผยแนวคิดและยุทธศาสตร์ที่น่าสนใจนี้ ในหัวข้อ “From Intelligence to Impact: Human – Business – Economy” บนเวที Techsauce Global Summit 2025 ซึ่งสามารถสรุปเป็นแผนงานที่ชัดเจนและนำไปปฏิบัติได้จริง
สมรภูมิในองค์กร: แยกเก่า–สร้างใหม่ไม่แบกหนี้เทคโนโลยี
เมื่อมองเข้ามาในสมรภูมิขององค์กรขนาดใหญ่ ปัญหาคลาสสิกที่เปรียบเสมือนสมอถ่วงเรือคือ ระบบดั้งเดิม (Legacy System) ที่ทั้งใหญ่โต ซับซ้อน และฝังรากลึกในกระบวนการทำงาน การพยายามเข้าไปรื้อถอนหรือเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในคราวเดียว (Rip and Replace) ไม่เพียงแต่ใช้ต้นทุนมหาศาล แต่ยังมีความเสี่ยงสูงและอาจไม่ใช่ทางออกที่มีประสิทธิภาพที่สุด
แนวทางที่นำเสนอจึงเป็นการแบ่งยุทธศาสตร์ออกเป็นสองส่วนอย่างชัดเจน ส่วนแรกคือการจัดการกับระบบเก่า โดยยอมรับความจริงว่าบางระบบอาจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้มากนัก แทนที่จะทุ่มเททรัพยากรเพื่อรื้อใหม่ทั้งหมด ก็ให้ใช้วิธีที่ชาญฉลาดกว่าคือการสร้าง “AI Wrapper” หรือ “ชั้นห่อหุ้ม AI” ขึ้นมาครอบระบบเดิมไว้
แนวคิดนี้เปรียบเสมือนการสร้างสะพานเชื่อมเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ากับระบบเก่า โดย AI Wrapper จะทำหน้าที่ดึงข้อมูลที่จำเป็นออกมาจากระบบหลังบ้านที่อุ้ยอ้าย แล้วนำมาประมวลผลด้วยโมเดล AI ที่ทันสมัย เพื่อสร้างบริการหรือความสามารถใหม่ ๆ ขึ้นมา แม้จะไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะยังต้องพึ่งพาความเร็วและข้อจำกัดของระบบเดิม แต่มันใช้การได้ทำให้องค์กรสามารถปลดล็อกมูลค่าจากข้อมูลที่มีอยู่และเดินหน้าต่อได้ทันทีโดยไม่หยุดชะงัก
–SCBX แต่งตั้ง ‘ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์’ เป็น CEO คนใหม่ มีผล 1 ม.ค. 70
ในทางกลับกัน ยุทธศาสตร์สำหรับสิ่งที่สร้างขึ้นใหม่นั้นกลับเฉียบขาดและไม่ประนีประนอม โดยมีนโยบายที่ชัดเจนว่า ต้องเป็น “AI Native” เท่านั้น คำว่า AI Native ไม่ได้หมายถึงแค่การมีฟีเจอร์ AI แต่หมายถึงการที่สถาปัตยกรรมทั้งหมดถูกออกแบบโดยมี AI และข้อมูลเป็นแกนกลางตั้งแต่เริ่มต้น และที่สำคัญที่สุดคือต้อง “ไม่มีหนี้ทางเทคนิค (Technical Debt) ตั้งแต่วันแรก” การยอมให้เกิดหนี้ทางเทคนิค ก็เปรียบเหมือนการสร้างบ้านที่สวยงามบนฐานรากที่ผุพัง ซึ่งจะทำให้การต่อยอดหรือแก้ไขในอนาคตทำได้ยากและมีราคาแพง การวางนโยบายนี้จึงเป็นการบังคับให้เกิดการออกแบบที่มองการณ์ไกลและมีวินัย
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือการเตรียมจัดตั้งธนาคารเสมือน (Virtual Bank) ซึ่งจะถูกสร้างให้เป็น AI Native อย่างแท้จริง เพื่อมอบประสบการณ์ที่แตกต่างจากโมบายแบงก์กิ้งในปัจจุบันที่ผู้ใช้ยังรู้สึกว่าเป็นกระบวนการที่ยึดธนาคารเป็นศูนย์กลาง (Bank-centric) เช่น หากต้องการเติมเงิน Easy Pass ผู้ใช้ต้องกดเข้าแอปฯ ล็อกอิน ค้นหาเมนูเติมเงิน เลือกประเภท และกรอกข้อมูลเองทั้งหมด แต่ในโลกของ AI Native ประสบการณ์จะเปลี่ยนไปเป็นแบบยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer-centric) อย่างสมบูรณ์ เช่น ระบบอาจตรวจจับได้ว่าคุณกำลังขับรถเข้าใกล้ทางด่วนและยอดเงิน Easy Pass ของคุณเหลือน้อย และส่งข้อความแจ้งเตือน “ยอดเงิน Easy Pass ใกล้หมด ต้องการเติม 500 บาทหรือไม่?” ซึ่งคุณสามารถทำรายการทั้งหมดให้เสร็จสิ้นได้ในคลิกเดียว นี่คือความแตกต่างที่เกิดจากการออกแบบระบบโดยมี AI เป็นหัวใจตั้งแต่ต้น
สร้างคนสองระดับ: “ผู้ใช้” ที่คล่องแคล่วและ “ผู้สร้าง” ที่แข็งแกร่ง
แน่นอนว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่หัวใจสำคัญคือ “คน” ซึ่งต้องมีการเตรียมความพร้อมในสองระดับควบคู่กันไป ระดับแรกคือพนักงานทุกคน (100%) ในองค์กร ซึ่งต้องสามารถใช้เครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้อย่างคล่องแคล่วจนเป็น “ธรรมชาติที่สอง” (Second Nature) เหมือนกับการใช้คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันที่ทุกคนคุ้นเคยดี การจะไปถึงจุดนั้นได้ องค์กรต้องลงทุนในการสร้าง “ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานด้าน AI” (AI Literacy) ให้กับพนักงานทุกคน เนื้อหาไม่ได้จำกัดอยู่แค่การใช้เครื่องมือ แต่ครอบคลุมไปถึงการทำความเข้าใจว่า AI คืออะไร การใช้งานอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible AI)
และที่สำคัญคือทักษะแห่งยุคอย่าง “วิศวกรรมพรอมต์” (Prompt Engineering) เพื่อให้พวกเขาสามารถตั้งคำถามและสั่งการ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย รู้ว่าข้อมูลแบบไหนที่สามารถส่งเข้าไปในระบบได้ และแบบไหนที่เป็นความเสี่ยง นอกจากนี้ ยังรวมถึงการส่งเสริมให้พนักงานสามารถปรับแต่งเครื่องมือพื้นฐานได้เองผ่านแนวคิด Low-code/No-code ซึ่งเป็นการลดกำแพงทางเทคนิคและทำให้ทุกคนสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมได้
นอกเหนือจากการสร้าง “ผู้ใช้” ที่ดีแล้ว ในอีกมิติหนึ่งซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กัน คือการสร้างทีมผู้สร้าง (Builders) ที่มีความสามารถในการ “สร้าง” (Build) เทคโนโลยี AI ได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้เกิดความยั่งยืนทางเทคโนโลยี (Technology Self-sustaining) การมีเพียงความสามารถในการใช้ แต่ขาดความสามารถในการสร้าง จะทำให้องค์กรต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากภายนอกตลอดไป ซึ่งเป็นความเสี่ยงในระยะยาว โดยเฉพาะในบริบทของประเทศไทยที่มักคุ้นเคยกับการเป็นผู้ใช้มากกว่าผู้สร้าง
องค์กรจึงจำเป็นต้องลงทุนอย่างจริงจังในการสร้างทีมที่มีความสามารถเชิงลึก ทั้งทีมวิจัยและพัฒนา (R&D) ทีมนวัตกรรม (Innovation Team) ทีมร่วมลงทุน (Venture Capital Team) ที่จะไปลงทุนในเทคโนโลยีแห่งอนาคต รวมถึงทีมที่ดูแลโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลโดยเฉพาะ เพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรมีขีดความสามารถครบวงจร ตั้งแต่การใช้ไปจนถึงการสร้างและพัฒนาเทคโนโลยี AI ของตนเองขึ้นมาได้
จากองค์กรสู่ประเทศ: วาระแห่งชาติ “อธิปไตยทาง AI”
เมื่อขยายภาพจากระดับองค์กรสู่ระดับประเทศ แนวคิดที่สำคัญที่สุดคือ “อธิปไตยทาง AI” (Sovereign AI) ซึ่งไม่ใช่แค่การพึ่งพาตนเอง แต่หมายถึงการที่ประเทศมีอำนาจในการควบคุมและกำหนดชะตากรรมทางเทคโนโลยีของตนเองได้อย่างสมบูรณ์ การขาดซึ่งอธิปไตยทาง AI เปรียบเสมือนการปล่อยให้ปัจจัยสำคัญของชาติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ตกอยู่ในความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์ดิจิทัล (Digital Geopolitics) ที่ผันผวน
อธิปไตยทาง AI ประกอบด้วย 3 เสาหลักที่ต้องสร้างไปพร้อมกัน ได้แก่ 1.อธิปไตยด้านโครงสร้างพื้นฐาน คือการมีศูนย์ข้อมูล (Data Center) และระบบคลาวด์ที่ตั้งอยู่ในประเทศและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกฎหมายไทย 2.อธิปไตยด้านข้อมูล คือการทำให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของคนไทยและของชาติถูกจัดเก็บและประมวลผลอย่างปลอดภัย และ 3.อธิปไตยด้านอัลกอริทึมและโมเดล ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด คือการที่ต้องสามารถพัฒนาหรือปรับแต่งโมเดล AI ที่เข้าใจภาษา วัฒนธรรม และบริบทของสังคมไทยได้อย่างแท้จริง เพื่อหลีกเลี่ยง “อคติทางอัลกอริทึม” (Algorithmic Bias) จากโมเดลของต่างชาติที่อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและส่งผลเสียต่อคนไทย
การจะไปถึงจุดนั้นได้ ต้องใช้โมเดลเดียวกับการบริหารบริษัทขนาดใหญ่ โดยมีรัฐบาลทำหน้าที่เสมือนคณะกรรมการ (Board) ที่ต้องกำหนดวิสัยทัศน์และประกาศให้ Sovereign AI เป็นวาระแห่งชาติที่ชัดเจนและต้องเกิดขึ้นจริง จากนั้นหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจะทำหน้าที่เสมือนฝ่ายบริหาร (Management) ที่ต้องร่วมกันผลักดันให้เกิดขึ้นผ่านการสนับสนุนที่เป็นรูปธรรม เช่น การที่ BOI ออกแบบสิทธิประโยชน์เพื่อดึงดูดการลงทุนด้าน AI และ Data Center โดยเฉพาะ การที่กระทรวงศึกษาธิการปฏิรูปหลักสูตรเพื่อสร้างบุคลากร AI ที่มีความสามารถในการสร้าง ไม่ใช่แค่ใช้และการส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและโมเดล AI กลางของประเทศ
ภาพสะท้อนความเร่งด่วนที่ชัดเจนที่สุดคือตัวเลขงบประมาณด้าน การวิจัยและพัฒนา (R&D) ของประเทศไทยทั้งประเทศซึ่งน้อยกว่า 1% ของ GDP ตัวเลขนี้เทียบไม่ได้เลยกับงบ R&D ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ เพียงบริษัทเดียว ที่ลงทุนมากกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงช่องว่างมหาศาลด้านขนาดและความมุ่งมั่น
“เราสามารถเรียนรู้จากประเทศจีนที่ใช้เวลา 20-30 ปีในการเปลี่ยนตัวเองจากประเทศที่ไม่มีบริษัทเทคโนโลยีจนกลายเป็นผู้นำระดับโลก หรือเวียดนามที่กำลังทุ่มสุดตัวในด้านนี้ ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ว่าความสำเร็จต้องอาศัยวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลและความมุ่งมั่นที่ต่อเนื่องจากทุกภาคส่วน”
3 สิ่งที่ต้องทำเพื่ออยู่รอดและเติบโต

บทสรุปของแนวทางทั้งหมดชี้ให้เห็นว่า AI ไม่ใช่กระแสที่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่เป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกที่จะอยู่กับเราอย่างถาวร คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่าจะใช้หรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าเราจะโอบรับและใช้ประโยชน์จากมันให้ดีที่สุดได้อย่างไร ผ่านการลงมือทำในสามระดับ ตั้งแต่ระดับบุคคล องค์กร ไปจนถึงประเทศชาติ
- ระดับบุคคล : “เพิ่มทักษะด้าน AI” เพื่อความอยู่รอดในอนาคตอันใกล้ ความสามารถในการใช้ AI จะไม่ใช่แค่ทักษะเสริม แต่เป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อการทำงานไม่ต่างจากการใช้คอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน การไม่มีทักษะด้านนี้จะทำให้คุณมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสายอาชีพใดก็ตาม ดังนั้น การลงทุนเวลาเพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจ AI การฝึกฝนการใช้เครื่องมือต่างๆ และการพัฒนาทักษะการทำงานร่วมกับ AI จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกคน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ต้องได้รับการส่งเสริมให้คุ้นเคยและใช้ AI ได้อย่างคล่องแคล่วตั้งแต่เนิ่น ๆ
- ระดับองค์กร : “สร้างความสามารถในการแข่งขันด้วย AI” เพื่อความแตกต่าง ในโลกที่เทคโนโลยี AI จะมีราคาถูกลงและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น การนำ AI มาใช้เพียงอย่างเดียวจะไม่ใช่ความได้เปรียบอีกต่อไป แต่ความสามารถในการแข่งขันจะมาจากการสร้างความแตกต่างที่คู่แข่งลอกเลียนแบบไม่ได้ องค์กรต้องตอบให้ได้ว่า “อะไรคือสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด?” แล้วนำข้อมูลและ AI ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองมาต่อยอดสิ่งนั้นให้เหนือกว่าคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ยอดเยี่ยม การพัฒนากระบวนการภายในที่มีประสิทธิภาพสูงสุด หรือการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่ไม่มีใครทำได้ หากองค์กรไม่มีความสามารถในการแข่งขันที่ขับเคลื่อนด้วย AI ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะถูก Disrupt ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งในประเทศหรือจากต่างประเทศก็ตาม
- ระดับประเทศ : “สร้างอธิปไตยทาง AI” เพื่อความมั่นคง ในภาพใหญ่ระดับประเทศ การพึ่งพาเทคโนโลยี AI จากต่างชาติเพียงอย่างเดียวเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของชาติ ทั้งในมิติของเศรษฐกิจที่อาจถูกจำกัดการเติบโตจากข้อกีดกันทางการค้าดิจิทัล และในมิติของความมั่นคงของข้อมูลที่อาจรั่วไหลหรือถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม ดังนั้น การมุ่งสู่การ “สร้างอธิปไตยทาง AI” (Sovereign AI) จึงเป็นเป้าหมายสูงสุด ประเทศไทยจำเป็นต้องมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี AI ที่สำคัญ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าเราสามารถควบคุมชะตากรรมของประเทศได้ และสามารถปกป้องผลประโยชน์ของคนไทยในระยะยาว
นี่คือแผนที่นำทางที่ชัดเจนจากสมรภูมิธุรกิจสู่เวทีระดับโลก การเดินทางสายนี้อาจต้องใช้เวลาและความทุ่มเท แต่ก้าวแรกที่มั่นคงในวันนี้ คือหลักประกันสำหรับอนาคตที่แข็งแกร่งของคนไทย ธุรกิจไทย และประเทศไทยในวันข้างหน้า
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
สร้างภูมิคุ้มกันอาเซียน จากท้องทะเลสู่ชุมชนและนวัตกรรมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
ถอดรหัส Growth Engine: 10 เคล็ดลับการตลาดปั้นสตาร์ตอัพให้โตไวแม้ไม่มีงบ