บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 โดยสามารถสร้างกำไรสุทธิได้ 2.0 พันล้านบาท ซึ่งนับเป็นการทำกำไรต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน สะท้อนความสำเร็จในการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญภายหลังการควบรวมกิจการ
แม้ว่าบริษัทจะเผชิญความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและผลกระทบจากเหตุการณ์ระบบโครงข่ายขัดข้องชั่วคราว แต่ความสามารถในการทำกำไรยังคงแข็งแกร่ง โดยหากปรับปรุงผลกระทบจากรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว เช่น ค่าด้อยค่าสินทรัพย์จากการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยจำนวน 2.5 พันล้านบาท กำไรสุทธิหลังปรับปรุง (Normalized Net Profit) จะสูงถึง 4.2 พันล้านบาท ความสำเร็จนี้เป็นผลมาจากการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลงถึง 8.0% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ที่ลดลงอย่างโดดเด่นถึง 12.4% ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากผลประโยชน์ของการควบรวม (Synergy)
ในส่วนของรายได้รวมในไตรมาสนี้อยู่ที่ 41.1 พันล้านบาท ปรับตัวลดลง 2.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากการลดลงของรายได้จากการให้บริการธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่, รายได้ค่าเช่าโครงข่ายที่ลดลงจากการทยอยสิ้นสุดสัญญาคลื่น 850 MHz และรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ที่ลดลงตามปัจจัยฤดูกาล
ด้านฐานลูกค้า ณ สิ้นไตรมาส 2 ทรูมีผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวนทั้งสิ้น 47.5 ล้านเลขหมาย ลดลง 2.9 ล้านเลขหมายจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งบริษัทชี้แจงว่าเป็นไปตามกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการสร้างฐานลูกค้าที่มีคุณภาพและลดจำนวนผู้ใช้งานใหม่ที่เกิดจากการหมุนเวียน อย่างไรก็ตาม ฐานผู้ใช้งาน 5G ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องสู่ 14.7 ล้านเลขหมาย และธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้านยังคงแข็งแกร่ง มีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น 2.3% จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 3.8 ล้านราย
ซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มฯ เปิดเผยว่า “ผลการดำเนินงานนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการสร้างผลกำไรอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ การที่ทรูชนะการประมูลคลื่นความถี่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้เครือข่ายของเรามีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับเทคโนโลยีแห่งอนาคตและผลักดันบริการดิจิทัลใหม่ๆ ตอบสนองความต้องการของลูกค้า”
จากปัจจัยท้าทายทางเศรษฐกิจมหภาค คณะผู้บริหารได้ปรับเป้าหมายการดำเนินงานปี 2568 โดยคาดว่ารายได้จากการให้บริการ (ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย) จะอยู่ในระดับทรงตัวถึงเติบโต 1% ส่วน EBITDA คาดว่าจะเติบโต 7-8% ขณะที่งบลงทุน (CAPEX) ยังคงเป้าหมายเดิมที่ 2.8 – 3.0 หมื่นล้านบาท และที่สำคัญที่สุด บริษัทยังคงเป้าหมายที่จะมีผลกำไรตลอดทั้งปี 2568 ตามรายงานงบการเงินโดยไม่เปลี่ยนแปลง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
บทเรียน CEO แห่ง Omoo และ Easy Digital: กลยุทธ์ปั้น SaaS ให้รอดและรุ่ง
จากห้องเก็บของ สู่บริษัทมหาชน: เรื่องราว 25 ปี ReadyPlanet
