Share on
×

Share

‘Energy Symphonics’ กลยุทธ์บ้านปู รับมืออนาคตพลังงานยุค AI

โลกกำลังถูกขับเคลื่อนด้วยคลื่นปฏิวัติลูกใหม่อย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งกลายเป็น “ผู้บริโภค” พลังงานรายใหม่ที่ทรงพลังที่สุด ดาต้าเซ็นเตอร์ที่เปรียบเสมือนสมองของ AI นั้นต้องการพลังงานไฟฟ้ามหาศาล เพื่อหล่อเลี้ยงการทำงานตลอด 24 ชั่วโมง นี่ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็น “โครงสร้างพื้นฐานใหม่” ของโลก ที่เทียบได้กับการสร้างถนนและทางรถไฟในอดีต

และคลื่นลูกถัดไปที่กำลังจะซัดเข้ามาคือ หุ่นยนต์ (Robotics) ซึ่ง AI จะก้าวจากโลกดิจิทัลมาสู่โลกกายภาพที่จับต้องได้ และเมื่อมองไกลไปถึงปี 2100 ภาพของแหล่งพลังงานสะอาดไร้ขีดจำกัดอย่างนิวเคลียร์ฟิวชัน (Nuclear Fusion) แบบในภาพยนตร์ Iron Man ก็อาจไม่ใช่แค่จินตนาการอีกต่อไป

แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น เราจะรับมือกับความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในวันนี้ได้อย่างไร? นี่คือโจทย์ใหญ่ที่บ้านปูในฐานะผู้เล่นด้านพลังงานระดับโลก กำลังหาคำตอบผ่านกลยุทธ์ที่น่าจับตามอง

โจทย์ใหญ่ปัจจุบัน: “Energy Supercycle” และความจริงที่ต้องเผชิญ

สินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความท้าทายคือโลกกำลังอยู่ในยุค Energy Supercycle หรือวัฏจักรขาขึ้นของความต้องการพลังงานครั้งประวัติศาสตร์ โดยคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 ความต้องการใช้ไฟฟ้าทั่วโลกจะพุ่งสูงถึง 30 เทราวัตต์-ชั่วโมง และอาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในอีก 20 ปีถัดไป ซึ่งนี่เป็นเพียงการประเมินขั้นต่ำ (Conservative Case) เท่านั้น แรงขับเคลื่อนมหาศาลนี้มาจากการเติบโตของประชากรและภาคอุตสาหกรรมดั้งเดิม ผนวกกับคลื่นการปฏิวัติ AI และดาต้าเซ็นเตอร์ที่กำลังเกิดขึ้นจริงและรวดเร็วกว่าที่คาด

สินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)
สินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)

ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือ อุปทานหรือกำลังการผลิตไฟฟ้าในปัจจุบันนั้นเติบโตไม่ทันความต้องการ (Supply cannot catch up) สภาวะไม่สมดุลนี้ได้สร้างทั้งวิกฤติด้านความมั่นคงทางพลังงาน และในขณะเดียวกันก็เป็น โอกาสครั้งสำคัญในรอบชีวิตสำหรับบริษัทพลังงานที่มองเห็นและพร้อมจะลงมือทำ

เขากล่าวว่าการเติบโตของมนุษยชาติในอดีตล้วนผูกพันกับการปฏิวัติพลังงานมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นยุคถ่านหิน ยุคน้ำมัน ยุคก๊าซธรรมชาติ และ ณ บัดนี้ โลกกำลังก้าวเข้าสู่การปฏิวัติ AI ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้มนุษยชาติก้าวกระโดดไปอีกระดับ ท่ามกลางความต้องการมหาศาลนี้ ความเป็นจริงคือโลกยังคงพึ่งพาพลังงานฟอสซิลเป็นหลัก และการตัดสินใจเชิงนโยบายยังถูกขับเคลื่อนด้วยภูมิรัฐศาสตร์ด้านพลังงานอย่างเข้มข้น เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของชาติไว้ ประเทศในเอเชียอย่างจีน อินเดีย และอินโดนีเซีย ยังคงพึ่งพาถ่านหินเป็นหลัก เพราะเป็นทรัพยากรที่หาได้ในประเทศและมีราคาถูก ขณะที่สหรัฐอเมริกาซึ่งมีก๊าซธรรมชาติล้นเหลือก็ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรนั้นเต็มที่ ส่วนยุโรปที่ทรัพยากรจำกัดกว่าจึงต้องผลักดันพลังงานหมุนเวียนและตลาดคาร์บอนอย่างจริงจัง

กลยุทธ์ “Energy Symphonics”

เพื่อรับมือกับโจทย์ที่ซับซ้อนนี้ บ้านปูได้วางกลยุทธ์ 5 ปีข้างหน้าภายใต้แนวคิด Energy Symphonic ซึ่งเปรียบเสมือนการเป็นวาทยกรผู้ควบคุมพลังงานหลากหลายรูปแบบให้ทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน โดยมีหัวใจสำคัญคือการเป็น “ผู้ให้บริการด้านพลังงานที่หลากหลาย (Versatile Energy Provider)” เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างและบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

สินนท์ได้ลงรายละเอียดถึงเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นในวงออร์เคสตรานี้ เริ่มจากก๊าซธรรมชาติและก๊าซธรรมชาติที่สะอาดขึ้น (Gas and Cleaner Gas) ซึ่งบ้านปูมองว่าเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญและจะมีบทบาทมากขึ้น โดยได้นำบริษัทลูก BKV เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตก๊าซในแหล่ง Barnett Shale รัฐเท็กซัส และกำลังเดินหน้าโครงการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ขนาดเล็ก เพื่อสร้างก๊าซธรรมชาติที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Gas) สำหรับป้อนให้กับโรงไฟฟ้าและดาต้าเซ็นเตอร์ในอนาคต โดยตั้งเป้าหมายการกักเก็บคาร์บอนไว้ที่ 16 ล้านตันภายในปี 2030

ถัดมา คือพลังงานหมุนเวียนและระบบกักเก็บพลังงาน (Renewables and Storage) ที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาความไม่เสถียรของพลังงานหมุนเวียน ด้วยการลงทุนใน แบตเตอรี่ฟาร์มขนาดใหญ่ (BESS) โดยล่าสุดได้ร่วมมือกับบริษัทในออสเตรเลียสร้างโครงการ BESS ขนาด 350 เมกะวัตต์ในรัฐวิกตอเรีย และมีตลาดเป้าหมายหลักอยู่ที่ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่มีตลาดไฟฟ้ารองรับ

และเพื่อเติมเต็มภาพให้สมบูรณ์ บ้านปูยังได้ต่อยอดจากความเชี่ยวชาญเดิมไปสู่ เหมืองแร่ยุคใหม่ (Next-Gen Mining) เพื่อจัดหาวัตถุดิบสำคัญสำหรับโลกอนาคต เช่น นิกเกิล บอกไซต์ และแร่หายาก (Rare Earth) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในอุตสาหกรรม AI หุ่นยนต์ และยานยนต์ไฟฟ้า เป็นการเชื่อมโยงธุรกิจต้นน้ำเข้ากับเทรนด์เทคโนโลยีปลายน้ำได้อย่างครบวงจร

ปรัชญาการบริหารแบบ ‘Energy Symphonic’

เบื้องหลังกลยุทธ์ที่ซับซ้อนนี้คือปรัชญาการบริหารองค์กรระดับโลกที่แข็งแกร่ง สินนท์เผยว่ากุญแจสำคัญคือการผสาน ความเชี่ยวชาญจากส่วนกลาง (Centralized Expertise) เข้ากับ การปฏิบัติการที่เข้าใจบริบทท้องถิ่น (Localized Execution)โดยอาศัยประสบการณ์ที่สั่งสมมานานกว่า 20 ปีในอินโดนีเซีย และ 10 ปีในจีนและสหรัฐอเมริกา ทำให้เกิดแนวคิดที่เรียกว่าหนังม้วนเดิม คือการนำบทเรียนจากตลาดที่พัฒนาแล้วมาปรับใช้กับตลาดที่กำลังเติบโตตามมา

การบริหารจัดการในแต่ละประเทศต้องปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมที่แตกต่าง เช่น ในสหรัฐอเมริกา จะเน้นประสิทธิภาพและการวัดผลที่ชัดเจน (Performance-based/KPIs) ขณะที่ในจีนต้องอาศัยความเข้าใจในวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้งเพื่อทำงานกับคนที่มีความสามารถและมีประสิทธิภาพสูง ส่วนอินโดนีเซียความสัมพันธ์ (Relationship) และการเข้าใจผู้มีส่วนได้ส่วนเสียคือหัวใจสำคัญ

บทบาทของสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพฯ จึงเปรียบเสมือนผู้กำหนดวิสัยทัศน์ จัดสรรเงินทุน และขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันก็ให้อำนาจและความเชื่อมั่นแก่ผู้บริหารในแต่ละประเทศในการวางกลยุทธ์และตัดสินใจ ซึ่งความท้าทายคือการทำให้เป้าหมายของผู้บริหารประเทศและเป้าหมายของแต่ละสายธุรกิจ (เช่น ก๊าซ, พลังงานหมุนเวียน) สอดคล้องกันอย่างลงตัว

ไม่ใช่แค่สร้างใหม่แต่ต้องทำให้ของเดิมสะอาดขึ้น

ในฐานะคุณพ่อของคนรุ่นใหม่ที่จะได้เห็นโลกในปี 2100 คำถามสุดท้ายจึงวนกลับมาที่ความรับผิดชอบต่อโลกและคนรุ่นต่อไป สินนท์กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “เรามีโลกเพียงใบเดียว และเราต้องช่วยกันดูแล” ด้วยเหตุนี้ บริษัทพลังงานจึงมีความรับผิดชอบโดยตรงที่จะต้องเปลี่ยนแปลงและลดการปล่อยคาร์บอน

บ้านปูได้ลงมือทำอย่างจริงจังด้วยการตั้งเป้าหมายที่จับต้องได้ ผ่านการวัดผลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ซับซ้อนทั้ง Scope 1, 2 และ 3 เพื่อหาทางลดการปล่อยก๊าซฯ ลงอย่างน้อย 20% ภายในปี 2030 และมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 แต่เขาย้ำด้วยมุมมองที่สมจริงว่า Net Zero 2050 อาจเป็นเพียงตัวเลขสำหรับทุกคนที่ต้องรายงาน หากไม่มีวิธีการที่เป็นรูปธรรม ดังนั้น การตั้งเป้าหมายระยะสั้นที่ปฏิบัติได้จริงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า

หัวใจสำคัญที่เขาเน้นย้ำคือ การลดคาร์บอนจากแหล่งพลังงานดั้งเดิม (Decarbonize the Traditional Energy) ซึ่งไม่ใช่แค่การลงทุนในพลังงานใหม่ แต่คือการทำให้ธุรกิจที่มีอยู่เดิมสะอาดขึ้น เขาได้ยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม เช่น การสร้างโมเดลก๊าซสะอาดที่แข่งขันได้ในเชิงเศรษฐกิจจากธุรกิจในสหรัฐฯ การเปลี่ยนไปใช้รถบรรทุกไฟฟ้า (EV Hauling Trucks) ในเหมืองถ่านหินเพื่อลดการปล่อยมลพิษ การติดตั้งโซลาร์ฟาร์มพร้อมแบตเตอรี่ในพื้นที่ปฏิบัติการเพื่อใช้พลังงานสะอาด และการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงานในทุกขั้นตอน

วิสัยทัศน์ของบ้านปูจึงสะท้อนให้เห็นว่า อนาคตของพลังงานไม่ใช่การเลือกข้างระหว่าง “เก่า” กับ “ใหม่” แต่คือความสามารถในการสร้าง Symphonic ที่ผสมผสานทั้งความมั่นคงของพลังงานดั้งเดิมเข้ากับนวัตกรรมของพลังงานสะอาด โดยมีเคล็ดลับที่สำคัญที่สุดในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้คือ การหาวิธีลดคาร์บอนจากแหล่งพลังงานดั้งเดิมให้สำเร็จ เพื่อขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้าอย่างยั่งยืนสำหรับทุกคน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘After You x ปตท.’ ถอดโมเดลใช้ AI ลดต้นทุน 15% ขับเคลื่อนโรงงานสู่ Industry 5.0

‘L’Oréal x แพรี่พาย’ ถอดรหัส Green Glam สวยอย่างไรให้โลกยั่งยืน

×

Share

ผู้เขียน