Share on
×

Share

เปิดเส้นทางสู่ความสำเร็จ 2 ผู้บริหารไทย สู่การเป็นนักศึกษาทุนระดับโลก

ภายในงาน WISE CHULA FORUM ได้มีการจัด Sessions : From Ambition To Admission Navigating The Path To Further Study เตรียมตัวเรียนต่ออย่างไรให้พร้อมขึ้นมา ซึ่งได้ กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร และ ดร.วิโรจน์ จิรพัฒนกุล ได้ออกมาแชร์ประสบการณ์การเรียนต่อต่างประเทศ

บทความนี้จะพาทุกท่านไปพบกับเรื่องราวของสองนิสิตจุฬาฯ ที่ได้รับทุนไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกอย่าง Stanford University และ MIT อะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทั้งคู่ได้รับทุนการศึกษา? การเรียนต่อต่างประเทศได้มอบอะไรให้กับพวกเขามากกว่าแค่ใบปริญญา? และพวกเขามีคำแนะนำอะไรสำหรับน้อง ๆ ที่อยากไปเรียนต่อต่างประเทศ?

เปิดเส้นทางการไปเรียนต่อของ 2 นิสิตหัวกะทิจากรั้วจุฬาฯ

กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร Head of R&D Innovation Lab, SCBX และเจ้าของเพจ แปดบรรทัดครึ่ง เผยถึงเรื่องราวการได้ไปเรียนต่อปริญญาโทสาขา MBA Stanford University ว่า หลังจากที่เรียนจบ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมปิโตรเลียม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ทำงานอยู่ที่แท่นจุดเจาะน้ำมัน ซึ่งในสมัยก่อนเป้าหมายของตนเอง คือการทำงานในองค์กรที่สามารถหาเงินที่ซัพพอร์ตตนเองและครอบครัวได้ คือการอยู่ในบริษัทที่มี Financially (การเงิน) ที่ไม่ต่ำจนเกินไป

AI ที่ใช้งานได้จริง! วิเคราะห์เส้นทาง Typhoon ผ่าวิธีคิดแบบ SCBX สู่การก่อร่าง LLM ที่เป็นได้มากกว่านวัตกรรม

หลังจากเรียนจบได้ระยะเวลาหนึ่ง จึงตัดสินใจที่เปลี่ยนสายการทำงาน จากสายวิศวะที่บริษัทต่างประเทศ ย้ายมาอยู่บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ.ในแผนกที่เน้นการทำงานเชิงกลยุทธิ์และเศรษฐศาสตร์ ซึ่งในช่วงนั้นตนเองก็ต้องการหาความรู้ทางด้านธุรกิจ และเริ่มสนใจที่จะเรียนต่อสาขา MBA (บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต) มหาวิทยาลัยเองก็ไม่ได้มีตัวเลือกมากนัก ที่สำคัญการไปเรียนต่อต่างประเทศนั้นมีราคาที่แพงมาก จึงเริ่มหาคุยกับทีมในองค์กรเรื่องการขอทุนไปเรียน ‘ระหว่างทางมันจึงเป็นการพิสูจน์ตนเองว่าเรานั้นดีพอ’ ทั้งการแบกรับภาระงานและการยื่นสมัครตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ จนได้ทุนของบริษัทไปเรียนปริญญาโทสาขา MBA Stanford University 

ด้าน ดร.วิโรจน์ จิรพัฒนกุล Managing Director & Co-Founder Skooldio หลังจากเรียนจบปริญญาตรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ไปเรียนต่อทันทีเลย เนื่องจากมีแรงจูงใจที่ต้องการไปเรียนต่อเมืองนอก แต่ก็ยังขาดความชัดเจนในตนเอง ว่าต้องการเรียนสาขาอะไร ในช่วงที่กำลังเรียนอยู่ในระดับปริญญาตรีปีที่ 3 ก็เป็นช่วงที่กำลังเริ่มมองหาว่าจะไปเรียนต่อที่ไหนดี และได้มีคนที่รู้จักแนะนำไปให้รู้จักกับสาย Operation research ที่ใช้คณิตศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาทางธุรกิจ

ตอนนั้นได้มีการทดลองขออาจารย์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้าไปทดลองนั่งเรียนด้วยประมาณ 1 เทอม เพื่อเป็นการยืนยันความชอบจริง ๆ ของตนเองต่อสาขานี้ ส่งผลให้เกิดความมั่นใจและยื่นสมัครไปในช่วงปีที่ 4 ซึ่งเป็นการได้ทุนจาก Massachusetts Institute of Technology โดยตรง ซึ่งด้วยความที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อนจึงปัญหาใหญ่คือ การหาหัวข้อวิจัย หากมีคนถามว่า ‘เรียนปริญญาเอกสาขาอะไรดี จะตอบกลับไปว่า ไม่ควรเรียน’ เนื่องจากการที่จะเรียนปริญญาเอกให้รอดในสาขานั้น ๆ ควรจะต้องทุ่มเท มุ่งมั่น และมี Passion มากจริง ๆ

ประโยชน์ 3 ข้อ จากการไปเรียนต่อต่างประเทศ

1) เพื่อหาความรู้

ในเรื่องของเหตุผลด้านการไปหาความรู้ กวีวุฒิและดร.วิโรจน์มีความเห็นตรงกันว่า ‘สมัยนี้การหาความรู้บนโลกออนไลน์นั้นง่ายมากยิ่งกว่า’ เนื่องจากสมัยก่อนเป็นยุคที่แทบจะไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ เหมือนยุคออนไลน์ในปัจจุบันนี้ แต่การไปเรียนต่อต่างประเทศ ก็จะได้ความรู้เยอะจาก MBA เพราะว่าแบรนด์ที่ไม่เคยมีโอกาสได้เรียน ปัจจุบันความรู้เหล่านั้นไม่ได้เอามาใช้ในรูปแบบไหน ก็ต้องบอกว่ามีหลงลืมไปบ้างบางส่วน แต่ก็ยังมีได้นำออกมาใช้บ้าง ทำให้เราเข้าใจวิธีคิดของคนในอีกศาสตร์หนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นในสมัยก่อนก็ไม่ถึงกับไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้เลย เพียงแต่ว่าการหาคอร์สเรียนออนไลน์นั้นทำได้ยากมากและไม่หลากหลายเท่าปัจจุบัน และราคาก็ไม่ได้น่ารักเท่าปัจจุบัน

แต่ข้อดีของการที่เราได้ไปเรียนต่างประเทศคือ โลกสมัยนี้หมุนเร็วและไปไวมาก หากจะต้องรอให้มีคนนำความรู้ภาษาอังกฤษมาแปลเป็นภาษาไทย เราก็จะตามไม่ทันหรือดีเลย์ไประยะหนึ่ง ฉะนั้นการที่เราสามารถเข้าถึงความรู้โดยตรงพุ่งเป้าออนไลน์ ไปจะเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์มาก ในมุมของการหาความรู้ ทั้งง่ายกว่า มีตัวเลือกเยอะกว่า และมหาวิทยาลัยระดับโลกส่วนใหญ่ปัจจุบันก็มีเปิดคอร์สเรียนแบบออนไลน์กันแล้วจำนวนมาก

2) เพื่อตราประทับ

ดร.วิโรจน์ บอกว่าตราประทับจากมหาวิทยาลัย ก็ถือเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญของเด็กที่เรียนจบใหม่ในต่างประเทศ เพราะตนเองได้โอกาสในการเข้าทำงานที่แรกกับบริษัท Facebook ที่ในปัจจันเปลี่ยนเป็น Meta ก็เพราะมีตราประทับของมหาวิทยาลัยเป็นใบเบิกทาง ถึงแม้ว่าทุกบริษัทเหล่านี้อาจจะบอกว่าไม่ดูวุฒิไม่สนใจากชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย ‘แต่ยืนยันได้เลยว่ายังไงบริษัทหลาย ๆ แห่งก็ยังคงสนใจชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยอยู่’

ดร.ต้า-วิโรจน์ จิรพัฒนกุล และ ‘Skooldio’ บทบาท “เรือจ้าง” ในยุคดิจิทัล กับพันธกิจ Professional Education

ดังนั้น จบมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงหน่อย ก็อาจจะช่วยเราได้ขึ้นได้มกอีกนิดในการหางาน หากเมื่อลองสังเกตดูรายชื่อผู้บริหารของบริษัทดัง ๆ อย่างบริษัทเทคโนโลยีส่วนใหญ่ก็มักจะจบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงทั้งนั้น และนอกจากนี้ในระหว่างการเรียนเรายังสามารถสร้าง Connection ที่แข็งแรงได้กับกลุ่มเพื่อนในรุ่น

ในขณะเดียวกันหากเราทำงานมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว ผ่านมาแล้วหลายบริษัท ความสำคัญของตราประทับมหาวิทยาลัยก็จะถูกลดคุณค่าความสำคัญลงไป แต่ก็ยังต้องยอมรับว่าสังคมไทยยังคงมีภาพจำและให้คุณค่าผู้ที่จบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง หรือเลือกปฏิบัติกับผู้ที่มีตำแหน่งมากกว่านั่นเอง

ด้าน กวีวุฒิ ได้บอกว่า หากต้องการไปเรียนต่อเพื่อให้ได้ตราประทับอะไรสักอย่างกับตัวเองแล้วจะรู้สึกดีกับตัวเอง ก็ไปให้ถึงที่สุดแล้วทำให้เต็มที่ และห้ามเกิดข้อสงสัยในตนเองระหว่างทาง แต่ก็ต้องบอกว่าสังคมไทยเป็นแบบนั้นจริง ๆ ที่สนใจในตราประทับของมหาวิทยาลัย เคยมีน้อง ๆ  หลายคนเข้ามาปรึกษาเรื่องการไปเรียนต่อแต่ทุนทรัพย์ไม่พอ จึงบอกไปว่าจริง ๆ  แล้วปัจจุบันมีตัวเลือกเยอะมาก ๆ  ไม่จำเป็นต้องไปเรียนอเมริกาเท่านั้น ในประเทศจีนเองก็มีมหาวิทยาลัยระดับต้น ๆ อยู่ และอีกหนึ่งประเทศที่น่าสนใจก็คือประเทศสิงคโปร์นั่นเอง

3) เพื่อหาประสบการณ์ชีวิต

กวีวุฒิบอกว่าประสบการณ์ที่ได้จากการเข้าไปเรียนที่ Stanford University ด้วยความที่เป็นเด็กทุนจากบริษัท การใช้ชีวิตก็จะอตกต่างจากคนในรุ่นด้วยกัน เนื่องจากตนเองไม่จำเป็นต้องคอยวิ่งหางานจริงจัง เงินเดือนก็ยังคงได้เหมือนเดิม ให้ความรู้สึกเหมือน Vacation เล็ก ๆ แต่ในขณะที่คนอื่นยังคงมีภาพยื่นหางานหรืออยู่ในวัยทำงานให้เห็น ข้อดีของการไม่ต้องอยู่ในช่วงทำงานจริงจังก็คือการได้สำรวจอะไรใหม่ ๆ นอกคณะ ซึ่งสิ่งที่ได้จากการพูดคุยกับผู้คนที่หลากหลายทั้งในและนอกมหาวิทยาลัยนั่นก็คือ ได้เหนวิธีคิดที่แตกต่างเช่นได้เรียนรู้ Entrepreneurial Mindset คือ ทัศนคติที่ช่วยให้เรามองเห็นโอกาสจากสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสจากทักษะที่เรามี หรือจากสถานการณ์รอบตัว เพื่อนำโอกาสนั้นมาต่อยอดมาสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เป็นต้น ซึ่งมันคือทัศนคติที่ทำให้เราได้ก้าวออกจาก Comfort Zone (พื้นที่คุ้นชิน คุ้นเคย) ซึ่งพอเข้าไปเรียนที่ Stanford University ก็จะโดนแนวคิดเหล่านี้เข้ามามีอิทธิพลจริง ๆ กับชีวิต ซึ่งการจะไปสัมผัสกับประสบการณ์แบบนี้ได้ ก็จำเป็นจะต้องนำตนเองเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น ซึ่งเพจแปดบรรทัดครึ่งก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดที่ได้มาจากประสบการณ์การไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ

ด้านดร.วิโรจน์ บอกว่า Tagline ของ MIT (Massachusetts Institute of Technology ) คือ ‘Nerd Pride’ ที่แปลว่าความภาคภูมิใจของการเป็นเด็กเนิร์ด ดังนั้นสิ่งที่ MIT เน้นมาก ๆ เลยก็คือการทำสิ่งใดก็ได้ให้เกิดเทคโนโลยีที่ล้ำที่สุดเพื่อแก้ปัญหาบางอย่างของโลกใบนี้ ซึ่งคุณต้ายังคงจำวันประฐมนิเทศได้เลย ว่าเป็นวันที่ทุกคณะต้องนำ Show case ล้ำ ๆ ของแต่ละคณะมาโชว์กัน ซึ่งเผยให้เห็นถึงวิวัฒนาการความก้าวล้ำของเทคโนโลยีที่ในปัจจุบันนี้ทุกอย่างมาไกลมาก เราไม่จำเป็นต้องแบกคอมพิวเตอร์หลายสิบเครื่องไว้หลังรถเพื่อให้รถวิ่งได้เองอีกต่อไปแล้ว การไปเรียนต่อนี้ทำให้เราเห็นแทบทุกโนโลยีที่ตนเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร จนสิ่ง ๆ นั้นออกนำมาจัดจำหน่าย ดังนั้น MIT ก็จะปลูกฝังแนวคิดที่ว่า ‘เทคโนโลยีช่วยแก้ไขปัญหาทุกอย่าง’ และทำให้เรามีความเป็น Builder (ผู้สร้าง) ในตนเองจากการหล่อหลอมในสังคมของ MIT นอกจากนี้ยังได้รู้จักกับผู้คนที่หลากหลายในสายธุรกิจ วิทยาศาสตร์ วิศวะ

เปิดเหตุผลที่ไม่ควรไปเรียนต่อต่างประเทศ

หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าการไปเรียนต่อต่างประเทศนั้นมีแต่ข้อดี แต่ในขณะเดียวกันก็ย่อมต้องมีข้อเสียอยู่บ้าง โดยข้อเสียขอการไปเรียนต่อต่างประเทศ 3 ข้อหลักมีดังนี้

  1. แพง -แน่นอนว่าการไปเรียนต่อที่ต่างประเทศโดยเฉาะประเทศที่ค่าครองชีพสูงมาก  ๆ ย่อมต้องมีทุนทรัพย์ที่มากพอที่จะซัพพอร์ตการเรียนและการใช้ชีวิตหลายปีของเราได้ ยิ่งการเรียนปริญญษโท หรือปริญญาเอกในต่างประเทศ ยิ่งมีราคาที่สูงมาก แม้แต่ในประเทศไทยเองยังมีราคาที่ค่อนข้างสูง
  2. ต้องใช้เวลา – สำหรับหลายๆคนที่จะไปเรียนปริญญาโทต่อที่ต่างประเทศ แล้วมองว่าเสียเวลาไป 2 ปีคงไม่เป็นไร แต่ในความจริงแล้วนั้น ในยุคปัจจุบันเราอาจจะไม่สามารถตามทันคนที่จบแล้วทำงานได้เลย ดังนั้นการเรียนต่อปริญญาโทจำเป็นต้องให้คุณค่ามากกว่าการที่เราเลือกไม่ทำงานต่อ ตามหลักเศรษฐศาสตร์จะเรียกสิ่งนี้ว่า Opportunity cost คือมูลค่าของผลตอบแทนจากกิจกรรมที่สูญเสียโอกาสไปในการเลือกทำกิจกรรมอย่างหนึ่ง
  3. รายจ่ายมากกว่ารายรับ ดังนั้นจึงอยากให้มองสองมุมมอง ยกตัวอย่างหากตนเองเป็นคนที่มีเป้าหมายชัดเจนว่าไม่ชอบคณะที่ตนเองเรียนมาตอนอยู่ที่ประเทศไทย ต้องการทำงานต่อที่ต่างประเทศ และที่บ้านมีทุนทรัพย์เพียงพอ แนะนำว่าให้รีบไปเรียนต่อต่างประเทศเลย

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

4 เทรนด์สำคัญกำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทย พร้อมเผยทักษะ “5 อวัยวะ” ที่ผู้นำยุคใหม่ต้องมี

“ดร.เอกอนงค์ จางบัว” เบื้องหลัง Food Innopolis และเส้นทางสู่ความสำเร็จ

Depa กางแผนปี 68 ทุ่ม 1,800 ล้านบาท ยกระดับทักษะดิจิทัลคนไทยทั้งประเทศ – หนุนดีปเทค สตาร์ตอัพ

×

Share

ผู้เขียน