Share on
×

Share

สมรภูมิ AI โลกเปลี่ยนทิศ เมื่อไทยยืนถูกที่ ถูกเวลา ในเกมมหาอำนาจ สหรัฐฯ-จีน

ท่ามกลางสมรภูมิเทคโนโลยี AI ที่กำลังเขียนกฎกติกาของโลกใหม่ การแข่งขันระหว่างสองมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีนก็ได้ทวีความเข้มข้นขึ้นในทุกมิติ มันคือสงครามเย็นยุคดิจิทัลที่ไม่ได้สู้รบกันด้วยอาวุธ แต่ด้วยซิลิคอนชิป บรรทัดของโค้ด และเม็ดเงินลงทุนมหาศาล ซึ่งผลลัพธ์ไม่เพียงแต่จะตัดสินว่าใครคือมหาอำนาจโลกคนต่อไป แต่จะกำหนดโครงสร้างชีวิตดิจิทัลของเราทุกคน แต่ท่ามกลางการปะทะกันของยักษ์ใหญ่ กลับมีมุมมองที่น่าสนใจจากผู้เชี่ยวชาญว่า ประเทศไทยกำลังยืนอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบที่สุดจุดหนึ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ภาพฉากทัศน์ใหม่นี้ถูกเปิดเผยในเวทีเสวนาหัวข้อ “Digital Crossroads: Charting Thailand’s Course Amidst the US-China Tech Superpower Race” ซึ่งรวบรวมมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญจากขั้วอำนาจเทคโนโลยีของโลก โดยมีผู้ร่วมเสวนาได้แก่ ซินดี้ เชา (Cindy Chow) จาก Alibaba Entrepreneurs Fund เจ เจา (Jay Zhao) จาก Leonis Capital แห่งซิลิคอนแวลลีย์ และ อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ (Isriya Paireepairit) จาก LINE MAN Wongnai พวกเขาได้ร่วมกันถอดรหัสว่า โลกกำลังเคลื่อนไปในทิศทางไหน และโอกาสครั้งประวัติศาสตร์ของไทยอยู่ตรงไหน

จุดเปลี่ยนของเกม: เมื่อ “พลังดิบ” ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

หลายคนอาจคิดว่าสงคราม AI คือการแข่งกันสร้างอาวุธที่ทรงพลังที่สุด นั่นคือ “ชิป” ที่ล้ำหน้าที่สุด แต่คุณเจ เจา จากซิลิคอนแวลลีย์กลับชี้ให้เห็นรอยร้าวของความเชื่อนี้ เขากล่าวว่าทฤษฎี “กฎแห่งการขยายขนาด” (Scaling Law) ที่ว่า “ยิ่งทุ่มพลังประมวลผลมาก AI จะยิ่งฉลาด” อาจกำลังถึงทางตัน เพราะโมเดลเริ่มใหญ่โตจนต้นทุนการฝึกฝนแพงมหาศาล แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย สังเกตได้จาก ChatGPT-5 ที่ไม่ได้ฉลาดขึ้นกว่ารุ่นก่อนอย่างก้าวกระโดดนัก ปัจจัยสำคัญอีกประการคือโลกกำลังขาดแคลน “ข้อมูลคุณภาพสูง” ที่จะใช้ฝึกฝน ทำให้การเพิ่มพลังประมวลผลเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป

นี่คือสัญญาณว่าสนามรบกำลังย้ายจากการแข่งขันด้านพลังดิบ ไปสู่ การแข่งขันด้านความฉลาดในการออกแบบ

ปรากฏการณ์นี้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ในขณะที่สหรัฐฯ พยายามจำกัดการเข้าถึงชิป จีนกลับถูกบีบให้สร้างนวัตกรรมจากข้อจำกัด ที่เปลี่ยนสถานะจากผู้นำเข้าเทคโนโลยีมาเป็นผู้สร้างเทคโนโลยีด้วยความจำเป็น จนสามารถพัฒนาชิปประสิทธิภาพสูงของตนเองขึ้นมาได้สำเร็จ ในเวลาเดียวกัน สตาร์ตอัพอย่าง DeepSeek ก็พิสูจน์ให้โลกเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องมีทรัพยากรมหาศาลก็สามารถสร้าง AI ระดับโลกได้ หากมีสถาปัตยกรรมที่ชาญฉลาดพอ

ขณะเดียวกันที่สหรัฐฯ บริษัทสายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า “AI-First Company” ก็ถือกำเนิดขึ้น พวกเขาไม่ได้แค่ “ใช้” AI แต่มี AI เป็นแกนกลางขององค์กรตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาจ้างนักวิจัย AI แทนที่จะจ้างทีมขายขนาดใหญ่ และใช้ Generative AI ในทุกส่วนของบริษัทตั้งแต่การเขียนโค้ด การตลาด ไปจนถึงบริการลูกค้า ทำให้สามารถสู้กับยักษ์ใหญ่ได้ด้วยทีมงานขนาดเล็ก ภาพทั้งหมดนี้กำลังบอกเราว่า เกมได้เปลี่ยนไปแล้ว ชัยชนะไม่ได้อยู่ที่ว่าใครมี “อาวุธ” ที่ใหญ่ที่สุด แต่อยู่ที่ว่าใครใช้มันได้ “ฉลาด” ที่สุด

ขุมทรัพย์ที่แท้จริง: ก้าวต่อไปที่ไกลกว่า AI ตอบคำถาม

เมื่อเกมเปลี่ยน คำถามคือ “ขุมทรัพย์” ที่แท้จริงอยู่ตรงไหน? คุณเจ เจา ชี้เป้าไปยังพรมแดนใหม่ที่น่าตื่นเต้นที่เรียกว่า “Agentic Software”

หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพ LLM ทั่วไปก็เหมือน “เครื่องคิดเลข” อัจฉริยะที่รอรับคำสั่ง แต่ Agentic Software คือ “ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO)” ดิจิทัล ที่เข้าใจเป้าหมายและดำเนินการเองได้ มันคือระบบที่ประกอบด้วย “AI Agent” หลายตัวทำงานร่วมกันเชิงรุกเพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนให้เรา โดยหัวใจสำคัญที่ทำให้มันแตกต่างคือความสามารถในการ วางแผน (Plan) ลงมือทำ (Execute) และประเมินผลเพื่อแก้ไข (Self-correct) ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายด้านความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยอย่างยิ่ง และนี่คือจุดที่สตาร์ตอัพสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้

โมเดลการทำงานนี้ไม่ได้มาเพื่อทดแทนมนุษย์ แต่เป็นการทำงานร่วมกันในรูปแบบ Human-in-the-Loop โดย AI จะรับหน้าที่จัดการงานที่ต้องใช้ข้อมูลมหาศาลและงานซ้ำซากจำเจกว่า 90% เพื่อปลดปล่อยให้ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์ได้ใช้เวลากับ 10% ที่เหลือ ซึ่งเป็นส่วนที่ต้องใช้การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ วิจารณญาณ และความเข้าอกเข้าใจ เช่น ในโรงพยาบาล AI Agent อาจวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยนับล้านเคสเพื่อหารูปแบบความเสี่ยง แต่การตัดสินใจเลือกแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดยังคงเป็นหน้าที่ของแพทย์ 

การมาถึงของ Agentic Software จึงไม่ใช่แค่การลดต้นทุน แต่เป็นการสร้างบริการรูปแบบใหม่ที่ทรงพลังและเฉพาะเจาะจงอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ซึ่งจะเปลี่ยน AI จากเครื่องมือประหยัดค่าใช้จ่าย ไปสู่ “เครื่องจักรสร้างรายได้” อย่างแท้จริง

โอกาสทองจาก “ความเป็นกลาง”

เมื่อฉากทัศน์โลกชัดเจนขึ้น ประเทศไทยก็ปรากฏตัวขึ้นในจุดที่ได้เปรียบอย่างไม่น่าเชื่อ คุณอิสริยะ สรุปจุดยืนของไทยว่า “เราไม่ได้เข้าร่วมสงครามนี้ เราเป็นกลาง และเรารักทั้งสองฝ่าย”

จุดยืนนี้ไม่ใช่การอยู่นิ่งเฉย แต่คือ “กลยุทธ์” ที่มอบพลังพิเศษให้เราในหลากหลายมิติ

มิติแรกคือ พลังแห่งการเลือกหรืออาจเรียกว่า การป้องกันความเสี่ยงเชิงเทคโนโลยี (Technological Hedging) ประเทศไทยเปรียบเสมือน “มาสเตอร์เชฟ” ในครัวเทคโนโลยีระดับโลก ที่มีอิสระในการเลือกวัตถุดิบที่ดีที่สุดจากทั้งครัวตะวันออกและตะวันตก จะนำโมเดล Open-Source จากจีนมาปรุงแต่ง หรือจะใช้ API สุดล้ำจากสหรัฐฯ มาเป็นส่วนประกอบหลักก็ทำได้ทั้งสิ้น ความยืดหยุ่นนี้ทำให้เราสามารถสร้างสรรค์ “เมนูเทคโนโลยี” ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เหมาะสมกับบริบทของไทย โดยไม่ต้องผูกติดกับระบบนิเวศของใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความเร็วในการสร้างนวัตกรรมได้อย่างมหาศาล

อีกมิติที่สำคัญไม่แพ้กันคือ พลังแห่งการดึงดูดมื่อมหาอำนาจขัดแย้งกัน ซัพพลายเชนของโลกก็ต้องหา “พื้นที่ปลอดภัย” และไทยคือหนึ่งในนั้น ด้วยนโยบาย “China+1” ที่บริษัททั่วโลกกำลังนำมาใช้ ประเทศไทยซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคง โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และแรงงานที่มีทักษะ จึงกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ การหลั่งไหลเข้ามาของการลงทุนด้านดาต้าเซ็นเตอร์จากทั้งบริษัทสหรัฐฯ และจีน คือข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าไทยได้รับความไว้วางใจให้เป็นดินแดนที่เป็นกลาง (Neutral Ground) 

สำหรับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ซึ่งจะสร้างวงจรเชิงบวก ทั้งการลงทุนนำมาซึ่งการจ้างงาน การจ้างงานต้องการทักษะใหม่ และการยกระดับทักษะของคนในชาติก็ยิ่งทำให้ประเทศน่าดึงดูดยิ่งขึ้นสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง

คุณอิสริยะทิ้งท้ายว่า AI ได้ปรับระดับสนามแข่งขัน (Level the Playing Field) ทำให้ผู้เล่นรายเล็กมีโอกาสท้าชนกับยักษ์ใหญ่ได้ นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่สตาร์ตอัพและนักพัฒนาไทยจะเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้ชม” มาเป็น “ผู้เล่น” บนเวทีโลก 

คำถามสำคัญในวันนี้จึงไม่ใช่ว่าไทยจะแข่งขันได้หรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าเราจะเลือกกำหนดชะตาของตัวเองในยุคใหม่นี้อย่างไร กระดานหมากถูกตั้งใหม่แล้ว และเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ถึงตาประเทศไทยเดิน

×

Share

ผู้เขียน