Share on
×

Share

3 นักวิจัยสตรีรับทุนลอรีอัล รักษามะเร็ง สร้างมูลค่าเพิ่มเชิงธุรกิจของก๊าซเรือนกระจก

เพราะเชื่อว่าความงามมีรากฐานมาจากวิทยาศาสตร์ และตระหนักดีว่านวัตกรรมวิทยาศาสตร์มีส่วนสำคัญในการพัฒนาโลกใบนี้ ลอรีอัล กรุ๊ป ในฐานะบริษัทความงามระดับโลกจึงให้การสนับสนุนบทบาทและงานวิจัยของสตรีในแวดวงวิทยาศาสตร์มาเป็นเวลานานกว่า 22 ปี ผ่านโครงการ “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” โดยการสนับสนุนของ UNESCO อย่างต่อเนื่องรวมถึงนักวิจัยสตรีไทยด้วย

แพทริค จีโร กรรมการผู้จัดการลอรีอัล ประเทศไทย พม่า ลาว และกัมพูชา ระบุว่า บทบาทระดับสูงของสตรีในแวดวงวิทยาศาสตร์ไทยยังคงต้องมีการผลักดันอีกมาก ในบรรดานักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น นับตั้งแต่ปี 1982 จนถึงปัจจุบัน มีนักวิทยาศาสตร์หญิงที่ได้รับรางวัลอยู่เพียงร้อยละ 16 เท่านั้น แม้จะมีผู้หญิงอยู่ในแวดวงวิทยาศาสตร์ไทยเป็นจำนวนเทียบเท่ากับผู้ชายก็ตาม

“เราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าโลกต้องการวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ต้องการสตรี ลอรีอัลจึงเดินหน้าเชิดชูเกียรติผลงานวิจัยอันโดดเด่นของสตรีผ่านโครงการ “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” อย่างต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 22 เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงรุ่นใหม่ที่ต้องการเติบโตในสายงานวิทยาศาสตร์ และพิสูจน์ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่าผู้หญิงทุกคนสามารถเปล่งประกายได้ในแบบของตนเอง” แพทริคกล่าว

สำหรับปี 2024 มีนักวิจัยสตรี 3 คนที่ได้รับทุนวิจัยมูลค่า 250,000 บาท พร้อมโล่เกียรติคุณ ซึ่งเป็นผู้ที่มีผลงานวิจัยโดดเด่น สร้างคุณูปการให้กับวงการวิทยาศาสตร์ และมีศักยภาพในการขับเคลื่อนสังคม โดยเฉพาะในด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของลอรีอัล ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ความงามควบคู่กับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านการสนับสนุนงานวิจัย เชิดชูบทบาทสตรีในสายงานวิทยาศาสตร์ และสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เพื่อผลักดันสังคมไทยและสังคมโลก สู่ความยั่งยืน

สารไวแสงและระบบนาโนนำส่ง ทางเลือกแบบแม่นยำสำหรับรักษาโรคมะเร็ง

รศ. ดร.อัญญานี คำแก้ว จากสำนักวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

รศ. ดร.อัญญานี คำแก้ว จากสำนักวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เจ้าของงานวิจัย “การพัฒนาสารไวแสงและระบบนาโนนำส่ง เพื่อเป็นทางเลือกแบบแม่นยำสำหรับการรักษาโรคมะเร็ง” ได้รับรางวัลทุนวิจัยในสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เธอสนใจศึกษาหาทางเลือกแม่นยำในการรักษามะเร็งที่มีประสิทธิภาพดีกว่าวิธีรักษาในปัจจุบัน

“โรคมะเร็งก็พัฒนาตัวเอง นักวิจัยก็ต้องหาทางเอาชนะให้ได้” รศ. ดร.อัญญานีกล่าว

รศ. ดร.อัญญานีซึ่งจบปริญญาเอกด้านรังสีวิทยาและเชี่ยวชาญด้านสารเรืองแสง สนใจพัฒนาสารเรืองแสงเพื่อเป็นทางเลือกในการรักษาโรคมะเร็ง เธออธิบายว่า แม้หลายทศวรรษที่ผ่านมาจะมีความก้าวหน้าด้านการพัฒนายาและอุปกรณ์การรักษาด้วยแสงเพื่อรักษามะเร็ง แต่ยังมีข้อจำกัดที่ทำให้ไม่อาจใช้ทางคลินิกได้อย่างแพร่หลาย ดังนั้น จึงจำเป็นต้องพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างของสารไวแสงและระบบนำส่งสารไวแสงไปยังเซลล์มะเร็งอย่างเร่งด่วนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรคร้าย

สิ่งที่เธอวิจัยคือพัฒนาสารไวแสงที่ตรวจจับเซลล์มะเร็งได้อย่างเจาะจง พัฒนาตัวนำส่งที่มุ่งเป้ามะเร็งร่วมกับการกระตุ้นด้วยแสงเฉพาะที่ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นโดยมีผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์น้อยลง

“ทางทีมวิจัยเราจึงมุ่งใช้เทคนิค ‘การบำบัดด้วยโฟโตไดนามิก’ (PDT) และ ‘การบำบัดด้วยความร้อนจากแสง’ (PTT) ร่วมกับวัสดุนาโนที่ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย โดยเน้นไปที่วิธีพัฒนาและสังเคราะห์สารไวแสงที่ตอบสนองต่อแสงได้อย่างดีเยี่ยม และมีฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อถูกกระตุ้นด้วยแสงเท่านั้น โดยสารจะไม่มีพิษต่อเซลล์มะเร็งเมื่อไม่ได้ถูกกระตุ้น”

“เรากระตุ้นสารเรืองแสงให้เห็นเป็นสี ๆ จะเป็นมะเร็งตรงไหนก็ได้ พอตรวจเจอเราก็กระตุ้นแสงให้สามารถทำปฏิกิริยากับออกซิเจน การวิจัยของเราถือว่าสารนี้สามารถตรวจและรักษาได้ไปพร้อมๆ กัน”

สิ่งที่เราศึกษาเป็นทางเลือกหนึ่ง เพราะปัญหาหลัก ๆ คือสารเรืองแสงไม่ได้จำกัดเฉพาะมะเร็ง เวลาที่เราใส่ยาเข้าไป เราต้องใช้โดสจำนวนมาก ๆ เพื่อให้ยาไปสะสมตรงเซลล์มะเร็ง ถ้าสะสมได้น้อยก็รักษาไม่หาย แต่ถ้าใส่มากไปและไปโดนเซลล์ส่วนอื่นที่ไม่ใช่มะเร็ง เนื้อเยื่อส่วนนั้นก็อาจจะเสียหาย

ส่วนระบบนาโนนำส่งก็เป็นอีกทางเลือกที่สามารถนำส่งสารเรืองแสงหรือยาพุ่งเข้าไปในเซลล์มะเร็ง คุณสมบัติของนาโนคือมีอนุภาคที่เหมาะสมกับผนังหลอดเลือด ที่จะช่วยห่อหุ้มไม่ให้สารไวแสงถูกทำลายง่ายเวลาถูกนำส่งเข้าไป ก็จะมีเวลาสะสมอยู่ในร่างกายนานกว่าโมเลกุลขนาดเล็กอื่น ๆ

งานวิจัยของเธออยู่ในช่วงหนูทดลอง ซึ่งพบว่าได้ผลดี ฉีด 1 โดส มะเร็งหายไปจำนวนมาก ผ่านไป 14 วันแล้ว มะเร็งยังไม่กลับมา แต่เธอยอมรับว่า การจะนำงานวิจัยชิ้นนี้ไปต่อยอดพัฒนาเป็นยารักษาผู้ป่วยได้ในอนาคตไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ยังพยายามอยู่ ตอนนี้เธอนำระบบนำส่งนี้ไปใช้ในภาคปศุสัตว์ เช่น นำส่งโปรตีนหรือวัคซีนให้สัตว์ และกำลังพัฒนายารักษาสิวเรื้อรังโดยผสมสารเรืองแสงเข้าไปให้ไปกำจัดสิวเพื่อลดการใช้ยาสเตียรอยด์

เปลี่ยนก๊าซเรือนกระจกให้เป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง มุ่งสู่ Net Zero Emission

ผศ. ดร.วลีพร ดอนไพร

เพราะตระหนักถึงสภาวะโลกร้อนที่มีผลมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง นักวิจัยหลายคนจึงมุ่งเน้นศึกษาวิจัยหาวิธีเปลี่ยนก๊าซเหล่านั้นให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ เช่นเดียวกับ ผศ. ดร.วลีพร ดอนไพร จาก ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งได้รับทุนวิจัยในสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ จากงานวิจัยหัวข้อ “การใช้ประโยชน์ก๊าซเรือนกระจกผ่านกลไกการเร่งปฏิกิริยาเพื่อการเกษตรและอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนมุ่งสู่ Net Zero Emission”

ผศ. ดร.วลีพร กล่าวว่า ปัจจุบันหลายภาคส่วนพยายามใช้ประโยชน์จากก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซมีเทน โดยการเปลี่ยนก๊าซเรือนกระจกทั้งสองชนิดนี้เป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงผ่านกลไกการเกิดปฏิกิริยาต่างๆ ซึ่งเธอเล็งเห็นว่า ปฏิกิริยาที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์อย่างมาก ได้แก่ “ปฏิกิริยาการแตกตัวของมีเทน” และ “ปฏิกิริยาดรายรีฟอร์มมิ่ง” เพราะผลิตทั้งพลังงานทดแทนและพลังงานสะอาดได้พร้อมกับใช้ประโยชน์จากก๊าซเรือนกระจก

งานวิจัยชิ้นนี้จึงมุ่งศึกษา 3 ส่วนด้วยกัน คือ

  1. การใช้ประโยชน์จากของเสียเหลือทิ้งจากการเกษตรมาใช้เป็นวัตถุดิบรอบสอง (Secondary raw material) โดยนำเถ้าชานอ้อยซึ่งเหลือทิ้งจากโรงงานผลิตน้ำตาลทราย มาสังเคราะห์เป็นโซเดียมซิลิเกต พร้อมศึกษาองค์ประกอบและลักษณะโครงสร้างของซิลิกาที่สังเคราะห์จากเถ้าชานอ้อย
  2. การพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับการเปลี่ยนก๊าซมีเทน เป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจำพวกไฮโดรเจนและผลิตภัณฑ์คาร์บอน
  3. การพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับการเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซมีเทน เป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจำพวกไฮโดรเจน และก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ผ่านปฏิกิริยาดรายรีฟอร์มมิ่ง

เธอหวังว่า งานวิจัยนี้จะก่อให้เกิดองค์ความรู้ด้านการใช้ประโยชน์จากก๊าซเรือนกระจก โดยการใช้กลไกนาโนเทคโนโลยีเข้ามาช่วยลดมลพิษจากกระบวนการผลิต ลดต้นทุนการกำจัดกากของเสีย สร้างการผลิตที่ยั่งยืน สะอาด และมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือต้องการนำก๊าซมีเทนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ อีกทั้งเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มโรงงานน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวลที่สามารถนำของเสียเหลือทิ้งจำพวกเถ้าชานอ้อยมาเพิ่มมูลค่า สร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ตอบโจทย์เร่งด่วนของประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน

เร่งปฏิกิริยาเชิงเคมีไฟฟ้าเพื่อความยั่งยืนทางพลังงานและสิ่งแวดล้อม

ดร.ปองกานต์ จักรธรานนท์ จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ

ดร.ปองกานต์ จักรธรานนท์ จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้ได้รับทุนวิจัยในสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ จากงานวิจัยหัวข้อ “การเร่งปฏิกิริยาเชิงเคมีไฟฟ้าเพื่อความยั่งยืนทางพลังงานและสิ่งแวดล้อม” มองเห็นปัญหาของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมหาศาลจากภาคพลังงานและภาคการผลิต จึงต้องการหาวิธีเปลี่ยนก๊าซดังกล่าวให้เป็นเคมีภัณฑ์ที่มีมูลค่าได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้การเร่งปฏิกิริยาเชิงเคมีไฟฟ้า

 ดร.ปองกานต์ กล่าวว่า ปฏิกิริยารีดักชันเชิงเคมีไฟฟ้าของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2RR) คือปฏิกิริยาที่สามารถผลิตสารเคมีมูลค่าสูงจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้หลายหลายชนิด แต่การผลิตสารเคมีเหล่านี้ยังมีข้อจำกัด คือมีกลไกซับซ้อน ใช้พลังงานสูง และมักประสบปัญหาการเลือกเกิดปฏิกิริยาที่ต่ำ

งานวิจัยของเธอมุ่งเป้าพัฒนาเซลล์ไฟฟ้าชนิดใหม่เพื่อเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นเคมีภัณฑ์ที่มีมูลค่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับการออกซิไดซ์ชีวมวลจากอุตสาหกรรมการเกษตรและอุตสาหกรรมกระดาษ ให้กลายเป็นวัสดุและสารเคมีที่มีมูลค่าสูงขึ้นได้ด้วย

“หากเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นนี้มีความเป็นไปได้ทั้งเชิงเศรษฐศาสตร์และสิ่งแวดล้อม รวมถึงสามารถร่วมมือกับภาคเอกชนที่มีวิสัยทัศน์ร่วมกันได้ อาจนำไปสู่การยกระดับเทคโนโลยีจากห้องปฏิบัติการสู่การใช้งานจริงได้ และจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอุตสาหกรรมหนักควบคู่ไปกับการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในภาคอุตสาหกรรมเคมีและพลังงานของประเทศไทย นอกจากนี้ หากนำเทคโนโลยีการเร่งปฏิกิริยาเชิงเคมีไฟฟ้ามาผนวกกับไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานทดแทนอย่างลมหรือน้ำก็จะมีศักยภาพที่จะเกิดเป็นกระบวนการผลิตที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้และมีส่วนช่วยผลักดันประเทศไทยสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนปี 2030” ดร.ปองกานต์กล่าว

22 ปี มอบทุนนักวิจัย 87 ราย

อรอนงค์ ประทักษ์พิริยะ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและองค์กรสัมพันธ์ ลอรีอัล ประเทศไทย กล่าวว่า ถึงแม้ลอรีอัลจะเป็นผู้ให้ทุน แต่งานวิจัยที่สมัครมาขอทุนไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับเครื่องสำอาง ขอให้เป็นงานวิจัยที่ช่วยส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมและนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อโลกและสังคม

“โครงการให้ทุนนี้เป็นโครงการที่เราทำต่อเนื่อง เพราะเราเห็นว่ารางวัลที่ให้นักวิจัยของประเทศยังมีน้อยอยู่ เราขอเป็นฟันเฟืองส่วนหนึ่งที่ช่วยยกระดับและสนับสนุนนักวิจัยสตรี จึงทำต่อเนื่องมา 22 ปี และเป็นทุนให้เปล่า ไม่มีข้อผูกมัด แต่เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้นักวิจัย และอยากให้นักวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวลอรีอัล” อรอนงค์กล่าว

โครงการทุนวิจัยลอรีอัล “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” หรือ For Women in Science ริเริ่มขึ้นในปี 1997 โดย มูลนิธิลอรีอัล ด้วยความร่วมมือจาก UNESCO แต่ละปีได้สนับสนุนนักวิจัยสตรีรุ่นใหม่มากกว่า 250 คนในโครงการระดับประเทศและระดับภูมิภาคทั่วโลก และได้มอบทุนเกียรติยศระดับนานาชาติแก่นักวิจัยสตรีระดับ Laureates ไปแล้วมากกว่า 100 คน ซึ่งมีถึง 7 คนที่ก้าวสู่ความสำเร็จได้รับรางวัลโนเบล

สำหรับในประเทศไทย ลอรีอัล ได้ดำเนินการโครงการมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 22 โดยมอบทุนวิจัยทุนละ 250,000 บาท ให้กับนักวิจัยสตรีไทยที่มีอายุไม่เกิน 40 ปี ใน 2 สาขา ได้แก่ สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ และสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ โดยมีนักวิจัยสตรีไทยที่ได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการนี้รวมแล้วทั้งสิ้น 87 คน จากมากกว่า 20 สถาบัน

รัฐ-เอกชน ตื่นตัวสนับสนุนทุนวิจัยมากขึ้น

ในอดีต นักวิจัยไทยไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนด้านทุนมากนัก ตัวงานวิจัยเองก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็น “งานวิจัยขึ้นหิ้ง” หรือศึกษามาแล้วไม่สามารถนำมาต่อยอดให้ใช้จริงได้ แต่ในยุคที่โลกหมุนไวขึ้น ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างก็ต้องปรับตัวเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงจึงเน้นให้ทุนกับนักวิจัยมากขึ้น

ดร.ปองกานต์ ให้ข้อมูลว่า สัดส่วนงบลงทุนกับงานวิจัยในไทยต่อ GDP ยังค่อนข้างน้อยหรือน้อยกว่า 2% ของ GDP แต่ก็เพิ่มขึ้นทุกปี เท่าที่ทำงานวิจัยมา 7 ปีเห็นว่ามีทิศทางที่ดีขึ้น เราเห็นการตื่นตัวของภาครัฐและภาคเอกชน จริงๆ แล้วภาคเอกชนลงทุนวิจัยมากขึ้นและขยายวงกว้างออกจากธุรกิจของตัวเองมากขึ้นด้วย อาจจะเพราะมีเรื่องปัญหาโลกร้อน เทคโนโลยีดิสรัปชั่น

“ภาคเอกชนก็ต้องมองหาอะไรใหม่ๆ คล้ายๆ จุดกู้ชีวิต กับ Sunset  Technology หลายๆ อย่าง เช่น ปีโตรเคมี ฮาร์ดดิสค์ หรืออุตสาหกรรมประกอบรถยนต์ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเก่าทั้งหมด เพราะถ้าเราไม่ทำอะไรเลย ก็จะยิ่งแย่ลง ตัวนักวิจัยเองก็ต้องปรับตัวให้งานวิจัยเข้าไปทางอุตสาหกรรมมากขึ้น” ดร.ปองกานต์กล่าว

เธอเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างของทุนวิจัยในไทยและต่างประเทศว่า ส่วนใหญ่ทุนวิจัยในประเทศก้อนใหญ่ๆ จะอยู่ที่ 1 ล้านบาท แต่ต่างประเทศคือ 1 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ สิ่งที่ค่อนข้างยากคือ การทำวิจัยให้สำเร็จมีกลไกเกี่ยวข้องมากมาย การรวมกลุ่มของนักวิจัยเพื่อทำอะไรที่ใหญ่ขึ้นหรือการนำงานวิจัยนั้นๆ ไปใช้ในวงการเอกชนสำคัญมากๆ ดังนั้น จุดที่ควรเริ่มเป็นจุดแรกคือการคิดโจทย์ร่วมกันกับผู้ที่จะนำงานวิจัยของเราไปใช้ เราพยายามจะคุยงานวิจัยในภาษาที่คนอื่นเข้าใจมากขึ้น และประยุกต์ให้ใช้จริงๆ ได้มากขึ้น

นักวิจัยต้องปรับตัวให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลง

ผศ. ดร.วลีพร เห็นด้วยว่าปัจจุบันมีการสนับสนุนนักวิจัยจากภาครัฐและเอกชนมากขึ้น ซึ่งเธอแนะนำว่านักวิจัยต้องปรับตัวให้เข้ากับทุนวิจัยด้วย โดยต้องดูว่ายุทธศาสตร์ของประเทศไปทางไหน เพราะ Theme และทุนวิจัยในแต่ละปีก็จะไปทางนั้น นักวิจัยแต่ละคนอาจจะไม่ได้เชี่ยวชาญตรงกับด้านนั้นๆ เราก็ต้องมีพัฒนางานวิจัยของเราให้สามารถประยุกต์ใช้กับสาขาที่หลากหลายมากขึ้น ถือเป็นการต่อยอดฐานความรู้ตัวเองเพื่อให้เราสามารถมีทุนวิจัยในการพัฒนาได้มากขึ้นด้วย

ด้าน รศ. ดร.อัญญานี เสริมว่า เทคโนโลยีต้องมีพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่ค่อนข้างแข็งแรง การที่ประเทศจะก้าวไปสู่ระดับ World class ก็ต้องมีฐานวิทยาศาสตร์ที่แข็งแรงเช่นกัน ในฐานะนักวิจัย เธอมองว่า นักวิจัยต้องปรับตัวเพื่อให้ก้าวทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง

“แต่อยากให้รักษาสิ่งที่ตัวเองรู้ลึกรู้จริงไว้ เพราะเป็น Core knowledge ที่ไม่มีใครเอาไปจากเราได้ ไม่ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด แต่แก่นความรู้ของเรายังอยู่”

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เปิดมุมมองภาครัฐ – ภาคธุรกิจ ในการเตรียมตัวรับมือกับโลกที่เต็มไปด้วย AI

รศ.ดร.ณัฐชา ทวีแสงสกุลไทย ปรุงสูตร 3C: Coach, Cash, Connection แรงส่งสตาร์ตอัพ สานต่อเศรษฐกิจใหม่ประเทศไทย

×

Share

ผู้เขียน