นักเศรษฐศาสตร์ใช้อักษรตัว “K” มาอธิบายจังหวะฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงวิกฤติโควิด โดยให้เหตุผลประมาณว่า จังหวะการฟื้นตัวของภาคส่วนต่าง ๆ ในระบบเศรษฐกิจจะไม่เสมอกัน อาทิ ภาคการท่องเที่ยวต้องรอไปหลังปีหน้า โน้นหรือนานกว่านั้นจึงจะขยับขึ้นมาเท่ากับช่วงก่อนไวรัสโควิด-19 จะระบาดใหญ่
ขณะที่ภาคส่งออกพอไปได้ ธุรกิจอีคอมเมิร์สไปได้ดี กิจการขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นยังมีกำไร แต่เอสเอ็มอีต้องขอพักหนี้ ฯลฯ ภาคเศรษฐกิจและธุรกิจที่ยังไปได้ดีจึงเปรียบเหมือนขาบนของตัวเคที่ทแยงขึ้น ส่วนภาคที่บอบช้ำจากพิษโควิดและไม่แน่ใจว่าจะกลับมาได้อีกหรือไม่เปรียบเหมือนขาล่างของตัวเคที่ทแยงลง ซึ่งสะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมในการฟื้นตัวและจะเป็นปัจจัยหนุนความเหลื่อมล้ำให้ถ่างมากยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก
ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ตัว “เค” ถูกนำมาเปรียบเทียบกับจังหวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงวิกฤติ ก่อนหน้านี้มักกล่าวถึงการฟื้นตัวแบบตัว “V” หรือเศรษฐกิจถดถอยลงถึงจุดต่ำสุดแล้วเด้งฟื้นตัวทันที ซึ่งเป็นโมเดลที่ผู้บริหารเศรษฐกิจทั่วโลกปรารถนา เพราะยิ่งฟื้นตัวเร็วเท่าไรยิ่ง ลดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจได้มากเท่านั้น เช่นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีนหลังสกัดการระบาดโควิดรอบแรกสำเร็จคือตัวอย่างการฟื้นตัวแบบ “วีเชฟ” ที่ถูกนำมาอ้างอิงเสมอ หรือตัว “U” ที่ฟื้นตัวเหมือนกันแต่ขอเวลาหน่อย
ส่วนของประเทศไทยคาดการณ์การฟื้นตัวจากวิกฤติถูกเปลี่ยนมาโดยตลอดในช่วงปลายปี 2563 หลังเศรษฐกิจลดลงถึงจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 (จีดีพีติดลบ 12.2%) เชื่อว่าเศรษฐกิจจะเข้าสู่โหมดฟื้นตัวปลายปี 2564 ก่อนมาเปลี่ยนเป็นติดลบหลังการล็อกดาวน์เพื่อหยุดระบาดระลอกสอง จากนั้นมาปรับเป็นบวกในช่วงปลายปีหลังสถานการณ์ระบาดเริ่มคลี่คลายและรัฐบาลขับเคลื่อนมาตรการออกมาชุดใหญ่โดยเฉพาะการเปิดประเทศเมื่อวันที่ 1 พฤศติกายน ที่ผ่านมา
ตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ปีที่วิกฤติโควิดปกคลุมเศรษฐกิจไทย รัฐบาลระดมมาตรการทางเศรษฐกิจดูแลและเยียวยา ด้วยการเติมเงินในกระเป๋าประชาชนด้วยวิธีการต่าง ๆ ออกมาต่อเนื่อง อาทิ “ชิมช้อปใช้” “เที่ยวด้วยกัน” “ยิ่งช้อปยิ่งได้” รวมทั้ง “คนละครึ่ง” ซึ่งทำซ้ำเข้ารอบที่สามแล้ว เพื่อประคองเศรษฐกิจไม่ให้ไหลลงไปถึงจุดซึมลึกซึ่งทำให้การฟื้นฟูทำได้ยากและมีต้นทุนแพงขึ้น
เรื่องการกระตุ้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ปาฐกถาหัวข้อ “จับมือรวมใจพาไทยรอด” ในการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศครั้งที่ 39 เมื่อวันที่ 21 พฤศิจกายน ที่ผ่านมา ตอนหนึ่งนายกฯได้กล่าวถึงการใช้งบประมาณในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดจากโควิดอย่างภาคภูมิว่า “แม้บางคนอาจจะยังไม่พอใจในการแก้ไขปัญหาแต่ในต่างประเทศบางประเทศก็ยังไม่ดีเท่าไทย ซึ่งได้ใช้งบประมาณ 25% ของจีดีพีไปแก้ไขปัญหาโควิด-19 และการจัดหาวัคซีนรวมทั้งการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ทำได้แค่นี้แต่หากมีรายได้มากขึ้นจะทำได้มากกว่านี้”
ต้องยอมรับว่าชุดมาตรการที่รัฐบาลระดมออกมาอย่างต่อเนื่องช่วยกระตุ้นให้ชีพจรเศรษฐกิจไปต่อได้ อย่างปีนี้เมื่อโควิดเริ่มระบาดระลอก 2 ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา จนรัฐบาลต้องประกาศล็อกดาวน์รอบสอง มีการจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามโซนสี แทนระดับความรุนแรงของการระบาดในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อควบคุมการระบาด ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการแผ่วทางเศรษฐกิจในวงกว้าง หน่วยงานทางเศรษฐกิจทั้งของรัฐและเอกชนออกมาประกาศปรับคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้จากเดิมคาดว่าจะขยาย 2% ลงมาเหลือไม่ถึง 1% และลงสู่จุดติดลบในที่สุด
แต่หลังรัฐบาลออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพิ่มอีก 5 แสนล้านบาท (ปีที่แล้วกู้มาแล้ว 1 ล้านล้านบาท) เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และลำเลียงมาตรการเติมเงินเข้ากระเป๋าผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ และพล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ และรมว.กลาโหม ตัดสินใจเลือกแนวทางอยู่ร่วมกับโควิดและประกาศเปิดประเทศให้พลเมืองจาก 63ประเทศเข้าไทยโดยไม่ต้องกักตัว ตัวเลขคาดการณ์จีดีพีปีนี้ถูกหน่วยงานต่าง ๆ จูนกันใหม่อีกครั้ง รอบนี้ขึ้นมาอยู่ในโซนบวก โดย รัฐมนตรีคลั อาคม เติมพิทยาไพสิฐ ยืนยันบนเวทีสัมมานาท้ายปี (ผ่านจอ) หลายแห่งและหลายครั้งว่า ปีนี้เศรษฐกิจไม่ติดลบจีดีพีจะขยายตัวอย่างน้อย 1%
แนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจช่วงวิกฤติโควิดนอกจากการกู้จนทะลุเพดานจนต้องทบทวนกรอบสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) จากเดิมไม่เกิน 60% ต่อจีดีพี เป็น 70% ต่อจีดีพี ในเดือนกันยานที่ผ่านมาแล้ว รัฐบาลยังตั้งเป้าล้วงเงินจากเศรษฐีต่างชาติทั้งกลุ่มเกษียณและอยู่ในวัยทำงานให้เข้ามาอยู่ยาวในประเทศไทย โดยรัฐบาลได้ออกวีซ่ายาว 10 ปีเพื่อหวังฟื้นฟูเศรษฐกิจอีกทาง
สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และรมว.พลังงาน พูดบนเวทีสัมมาแห่งหนึ่งว่า (รัฐบาล) ตั้งเป้าหมายภายใน 5 ปีดึงดูดชาวต่างชาติ 1 ล้านคน โดยหวังว่าแต่ละรายจะใช้จ่าย 1 แสนบาทต่อเดือนรวมเป็น 1 ล้านบาท (โดยประมาณ) ต่อปี จะทำให้ไทยมีรายได้ประมาณ 1 ล้านล้านบาทต่อปี เป็นรายได้ครึ่งหนึ่งจากรายได้ที่ประเทศไทยเคยได้จากนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน (จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยก่อนโควิดมาเยือน)
นอกจากนี้ เมื่อเดือนตุลาคมที่เพิ่งผ่านมา แบงก์ชาติได้ประกาศผ่อนตลายมาตรการ แอลทีวี (อัตราส่วนสินเชื่อต่อราคาที่อยู่อาศัย) ซึ่งเป็นข้อกำหนดว่าผู้กู้ต้องวางดาวน์ขั้นต่ำเท่าไร เดิมแบงก์ชาติใช้มาตรการแอลทีวีเพื่อควบคุมการเก็งกำไรเพื่อป้องกันภาวะฟองสบู่ โดยมีข้อกำหนด อาทิ กู้ซื้อบ้านหลังแรก ราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท กู้ได้เต็ม 100% หลังที่สองต้องดาวน์ 10-20% หลังที่สามดาวน์ 30% เป็นต้น
แต่แอลทีวีเวอร์ชันสู้ภัยโควิดกำหนดว่ากรณีซื้อที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทหลังที่สอง กู้ได้เต็ม 100% จากเดิมต้องดาวน์ 10-30% (ระเบียบเดิมหลังแรกกู้ได้ 100 % อยู่แล้ว) และกรณีซื้อที่อยู่อาศัยราคามากกว่า 10 ล้านบาท กู้ได้เต็ม 100% ตั้งแต่หลังแรก โดยโปรโมชันนี้ถึงสิ้นปี 2565 เท่านั้น การคลายล็อกแอลทีวีของแบงก์ชาติรอบนี้คงหวังดึงกลุ่มคนมีเงินเข้ามาลงทุนหรือเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ เพราะสถานการณ์เช่นนี้คงมีแต่คนมีเงินและเครดิตดีเท่านั้นที่ยังสามารถกู้แบงก์ได้
อย่างไรก็ดี ทั้งนโยบาย เติมเงินเข้ากระเป๋าชาวบ้าน เปิดประเทศ การหารายได้จากเศรษฐีต่างชาติของรัฐบาล รวมทั้ง การคลายล็อกแอลทีวี เปิดทางให้กู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้เต็ม 100% ของแบงก์ชาติ ฯลฯ จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงจากนี้ได้มากน้อยขนาดไหน คงต้องดูว่าไวรัสโควิดกลายพันธุ์ สายพันธุ์ “โอไมครอน” ที่ผู้เชี่ยวชาญ บอกว่ามีความคล่องตัวในการแพร่เชื้อมากจะทำลายสถิติระบาดในแง่คนเจ็บและตายที่ “เดลต้า” เคยทำไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่
โดยนับตั้งแต่องค์การอนามัยโลกประกาศให้เฝ้าระวัง “โอไมครอน” เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โอไมครอน แวะไปทักทายแล้ว 40 ประเทศทั่วโลกล่าสุด (6 ธ.ค. 64) กระทรวงสาธารณสุขออกมายืนยันแล้วว่าพบผู้ติดเชื้อโอไมครอนรายแรกในไทยเป็นนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันวัย 35 ปั เดินทางมาจากสเปน
แม้แพทย์ชั้นนำมองเหมือน ๆ กันว่าวัคซีนยังช่วยลดอาการป่วยหนักและเสียชีวิตจากการติดเชื้อโอไมครอนได้ แต่การปรากฎตัวขอทายาทรุ่นล่าสุดของไวรัสโควิดจากอู่ฮั่นได้ยกระดับความไม่แน่นอนของโลกใบนี้ให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก ทำให้ ยากที่จะชี้ชัดลงไปว่า ธุรกิจไหนบ้างที่อยู่ “ขาบน” หรือ “ขาล่าง” ของตัว K
“ชญานิน ศาลายา” เป็นนามปากกาของ “คนข่าว” ที่เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของวัฎจักรเศรษฐกิจตลอดช่วง 4 ทศวรรษเศษ