ในช่วงวันเวลาต้นปี ที่ยังไม่หมดไตรมาสที่ 1 แต่บรรยากาศทางเศรษฐกิจดูไม่ดีเลย ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศภายนอกประเทศ ที่ยังคุกรุ่นเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ในประเทศเองก็มีข่าวไม่สู้ดี ตัวเลขทางเศรษฐกิจ ก็ยังไม่เห็นสัญญาณที่เป็นบวกเป็นคุณกับพวกเรา จนต้องถามตัวเราว่า เรามีแผนสำรองกับตัวเองหรือเปล่า ถ้ายังไม่ได้ทำอะไร ลองเช็คดูหน่อยว่าคุณมีภูมิต้านทานแค่ไหน ด้วยตัวเองดังนี้
- คุณมีเงินสดสำรองได้ 6 เดือนไหม
- เงินผ่อนหนี้ต่อรายได้ไม่เกิน 40% หรือไม่
ในสองสิ่งนี้ ถ้าคุณยังมีและรักษาไว้ด้วย แสดงว่าคุณมีสุขภาพการเงินที่ดี มีภูมิต้านทานที่ช่วยให้คุณผ่านพ้นความทุกข์ยากไปได้ อธิบายอย่างเห็นภาพชัด ๆ หมายถึง ในรายได้ที่เข้ามาหาคุณในแต่ละเดือน ใช้หนี้ใช้สินประมาณ 40% ที่เหลือประมาณ 60% จะเป็นการใช้จ่าย 40% ที่เหลืออีก 20% เก็บไว้เป็นเงินออม
คราวนี้ ก็มาดูว่า ถ้ารายจ่ายของคุณในแต่ละเดือน ไม่เกิน 40% ของรายได้ คูณด้วยเวลา 6 เดือน ก็จะเท่ากับจำนวนเงินสำรอง ซึ่งเก็บไว้ในกรณีฉุกเฉินที่รองรับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการถูกหักเงินเดือน หรือถูกเลิกจ้างงาน เวลา 5 เดือนน่าจะเป็นเวลาที่พอจะนึกออกว่าจะทำอย่างไร
สำหรับการผ่อนชำระหนี้สิน ถ้าคุณมียอดไม่เกิน 40% ถือว่าคุณโชคดี แสดงว่าควบคุมความอยากความต้องการของคุณได้ดี ซึ่งว่ากันจริง ๆ แล้ว การห้ามการก่อหนี้ของผู้คนในยุคนี้ มันยากมาก สิ่งยั่วเยือนของโลกยุคนี้ทำให้ผู้คนมองว่าทุกสิ่งที่ซื้อเป็นเรื่องจำเป็น การควบคุมอารมณ์ความรู้สึกความอยากได้อยากมีเหมือนคนอื่น เป็นเรื่องที่ต้องสะสมเหมือนจำนวนเงินในกระเป๋าเหมือนกัน
การจะทำภารกิจให้เป็นคนมีภูมิต้านทานได้ ต้องเริ่มต้นตั้งแต่วัยเริ่มต้นทำงาน ก็คือการทำบัญชีรับ-จ่ายของตัวเอง เพื่อจะได้รู้ว่าในแต่ละเดิอนเรามีรายรับเท่าไร และมีรายจ่ายเท่าไร มีเหลือสำหรับการออมเท่าไร
ยากครับ!!! ยากมากที่คุณจะวางแผนการเงินให้ตัวเองได้ โดยที่ไม่รู้ว่าคุณมีทรัพย์สิน/หนี้สินอยู่เท่าไร อยู่ที่ไหน จำนวนมากน้อยแค่ไหน การทำบัญชีครัวเรือน มีส่วนประกอบสำคัญได้แก่
- โดยทั่วไป คุณควรจะมีบัญชีที่ระบุกระแสเงินสดของคุณ ซึ่งประกอบด้วย รายรับ อาทิ เงินเดือน ,โบนัส / รายจ่ายจำเป็น(ที่ต้องผ่อนจ่ายทุกเดือน อาทิ ค่างวดรถ/ค่าผ่อนบ้าน/ประกัน/ภาษีรถ ฯลฯ) และรายจ่ายผันแปร ซึ่งได้แก่ รายจ่ายที่มีทุกเดือน อาทิ ค่ารถ /ค่าอาหาร/ค่าทางด่วน/ภาษี
ข้อสังเกตุ :
1.1) ความแตกต่างระหว่างรายจ่ายจำเป็นกับรายจ่ายผันแปร คือ รายจ่ายประจำจะซ้ำเหมือนกันทุกเดือน ในขณะที่รายจ่ายผันแปร ขึ้นลงตามพฤติกรรมของแต่ละคน
1.2) ถ้าหากรายจ่ายจำเป็น สูงกว่า 40% ของรายได้ อันนี้ลำบาก เพราะจะเหลือเงินสำหรับใช้จ่ายในแต่ละเดือนน้อยถึงน้อยมาก และอาจจะกระทบกับเงินสำหรับการออมที่แยกต่างหากไว้ บางคนอาจจะไม่เหลือเงินออมเลยก็ได้ - อีกบัญชีที่ควรจะมีได้แก่ บัญชีส่วนบุคคล ซึ่งเป็นตารางที่บอกสินทรัพย์ของเราอยู่ในบัญชีประเภทไหนบ้าง ได้แก่ สินทรัพย์สภาพคล่อง ได้แก่ บัญชีเงินฝากในธนาคาร สินทรัพย์เพื่อการลงทุน อาทิกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Providence Fund) หุ้น / กองทุนรวม และสินทรัพย์มีค่าต่าง ๆ และอีกหนึ่งหัวข้อที่สำคัญ ก็คือรายละเอียดหนี้สิน
ข้อสังเกต :
2.1) พนักงานองค์กรเอกชนที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แนะนำให้สมัครถือเป็นเงินออมที่ได้ประโยชน์มากที่สุด เนื่องจากตามกฎหมายจะกำหนดให้บริษัทและรัฐต้องออกส่วนหนึ่งด้วย เท่ากับเราจะมีเงินออมเพิ่มขึ้นมากกว่าจำนวนเงินที่เราลงทุนไป
เจ้าสองบัญชีที่คุณได้ จะช่วยทำให้คุณรู้สถานะของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก หากเราไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้สถานะของตัวเอง คุณจะไม่รู้วิธีแก้ปัญหาที่เกิดกับตัวเรา ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคุณรู้ว่าหนี้สินอยู่ที่เท่าไร เกิน 40%หรือไม่ ถ้าเกินจะรับมืออย่างไร ลดตัวเลขผันแปร เพื่อชดเชยได้ไหม
สิ่งที่น่ากังวลตอนนี้คือ ราคาสินค้าในปัจจุบัน มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะในหมวดสินค้าที่ใช้ในการบริโภค ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน หรือสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ขณะที่สินค้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันกลับลดราคามีการโหมทำโปรโมชัน โอกาสที่คุณจะจ่ายมากกว่าปกติได้มากทีเดียว จนบางทีก็ไม่รู้คุณค่าของสิ่งที่ได้มา การที่เราสามารถประเมินค่าใช้จ่าย และควบคุมค่าใช้จ่ายจะเป็นเรื่องสำคัญในภาวะที่สอดรับกับสถานการณ์ขณะนี้
การลดค่าใช้จ่ายจึงเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะการลดค่าใช้จ่ายโดยการไม่ซื้อ ข้อคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้จากการใช้ แนวคิดแบบ Kakeibo ที่คิดค้นโดยฮานิ มาโกโตะ นักข่าวหญิงชาวญี่ปุ่น ที่มุ่งให้แม่บ้านญี่ปุ่นจัดการการเงินในครัวเรือน โดยเริ่มด้วยการ
- ดำเนินการทบทวน ด้วยการจดบันทึกค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือน เพื่อที่จะ
- วางแผนการใช้จ่ายเป็นรายเดือน เพื่เอดูสิว่าเมื่อหักค่าใช้จ่าย จะมีเงินออมได้หรือไม่ และได้สักเท่าไร
- คำนวณเงินที่พร้อมจะใช้จ่ายในแต่ละสัปดาห์ ซึ่งหากแยกเป็นหมวดเป็นค่าใช้จ่ายคงที่และค่าใช้จ่ายผันแปร
- และสุดท้ายนำมาวิเคราะห์การใช้จ่ายของเรา เพื่อที่จะปรับปรุงกันได้อย่างไร
และสุดท้ายฝากคุณคิดในเรื่องของการใช้จ่าย คุณได้ใช้วิธีการเหล่านี้เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายได้ไหม?
- ใช้เวลาคิดก่อนซื้อ (อะไรสักอย่าง) 1 วัน
- ตัดใจจากสินค้าที่ลดราคา
- เช็กเงินฝากในธนาคารอยู่เสมอ
- ใช้เงินสดในการซื้อแทนการใช้บัตรเครดิต
- ตั้งค่าเตือนกับตัวเมื่อจะใช้เงิน
- เปลี่ยนสภาพจากการนั่งคิดเรื่องการใช้เงิน เป็นการหากิจกรรมหาเงินแทน
นอกจากนี้ Kakeibo ยังให้ 7 วิธีคิดก่อนตัดสินใจก่อนล้วงเงินสดออกจากกระเป๋าว่าคุณทำได้ไหม
- อยู่ได้ไหม ถ้าไม่ซื้อ!
- มีเงิน (สด) ในการซื้อหรือไม่
- เมื่อซื้อมาแล้ว ได้ใช้ (จริง ๆ) หรือไม่ หรือซุกอยู่ในตู้ที่ไหนสักแห่ง
- ต่อจากข้อ 3 มีที่เก็บหรือไม่ หรือต้องไปหาใหม่
- ถามตัวเองว่า จริง ๆ อยากได้ (เป็นเหตุผลหรืออารมณ์?)
- อารมณ์ตอนซื้อล่ะ รู้สึกอย่างไร
- ผลจากการซื้อมาแล้ว (เงินหมด เป็นหนี้)
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
เวลา/โอกาสไม่อาจย้อนกลับไป แต่เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
4 กลยุทธ์ แก้ไขต้นตอของการเป็นหนี้
หาเงินมันเหนื่อย เชื่อเถอะ ไม่มีเงินเหนื่อยกว่า