วันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา #เกณฑ์ใหม่ประกันEV เริ่มบังคับใช้อย่างเป็นทางการกับธุรกิจประกันภัยรถยนต์ในประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว โดยทุก ๆ คนที่เป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) หากต้องการทำประกันรถยนต์หลังจากอ่านบทความนี้ จะต้องยอมรับเงื่อนไขใหม่ ๆ ทั้งหมดของ #เกณฑ์ใหม่ประกันEV ก่อนทำประกันภัยรถยนต์
หลาย ๆ คนที่เคยเห็นผ่านตากันมาบ้างอาจจะยังไม่เข้าใจและมีคำถามบางเงื่อนไข วันนี้เลยสรุปมาให้ 4 ข้อที่ต้องรู้ก่อนทำประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อ่านที่เดียวจบ เข้าใจง่าย ไม่ต้องรู้มากกว่านี้อีกแล้ว !
1) หลังใช้ #เกณฑ์ใหม่ประกันEV ราคาประกันรถยนต์ไฟฟ้าจะถูกลง?
ต้องบอกกันตรงๆเลยว่า จุดมุ่งหมายหลักของ #เกณฑ์ใหม่ประกันEV ในครั้งนี้ ‘ไม่ได้มุ่งที่จะทำให้ประกันรถยนต์ไฟฟ้าถูกลงตั้งแต่ปีแรก’ แต่มีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้ประกันรถยนต์ไฟฟ้า ‘ถูกลงสำหรับคนที่มีประวัติการขับรถดีแบบต่อเนื่อง’
เนื่องจากเงื่อนไขข้อนึงที่ถูกกำหนดมากับ #เกณฑ์ใหม่ประกันEV คือ ‘ส่วนลดพฤติกรรมการขับขี่’
โดยส่วนลดตัวนี้จะถูกกำหนดว่า ถ้าในปีแรก คนขับคนไหนที่ไม่ได้มีการ ‘เคลมประกันแบบเป็นฝ่ายผิดหรือฝ่ายประมาทเลย’ จะทำให้ได้รับ ‘ส่วนลดพฤติกรรมการขับขี่’ ในปีต่อ ๆไป ครับ
ส่วนลดพฤติกรรมการขับขี่
- ไม่มีชนเป็นฝ่ายผิดหรือประมาท 1 ปี ปีต่อไปลด 10%
- ไม่มีชนเป็นฝ่ายผิดหรือประมาท 2 ปีติดต่อกัน ปีต่อไปลด 20%
- ไม่มีชนเป็นฝ่ายผิดหรือประมาท 3 ปีติดต่อกัน ปีต่อไปลด 30%
- ไม่มีชนเป็นฝ่ายผิดหรือประมาท 4 ปีติดต่อกัน ปีต่อไปลด 40%
นอกจากนี้รถแต่ละคันก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับ ‘ส่วนลดประวัติดี’ เพิ่มอีก 40% ด้วยนะ
เท่ากับว่าถ้าหากไม่มีชนเลยเป็นระยะเวลา 4 ปี ติดต่อกัน เรามีสิทธิ์จะได้รับส่วนลด 40% + 40% ได้เลย
เบี้ยประกันภัยปกติราคา 20,000 บาท และ ไม่มีประวัติการชนเลยตลอด 4 ปีติดต่อกัน
- จะได้รับส่วนลดราคาจาก ‘ส่วนลดพฤติกรรมการขับขี่’ ลดไป40%
20,000 บาท – 40% = 12,000 บาท
- และนำไปลดจาก ‘ส่วนลดประวัติดี’ เพิ่มอีก 40%
12,000 บาท – 40% = 7,200 บาท
เท่ากับเราจะจ่ายเบี้ยเพียงแค่ 7,200 บาท จากราคาเต็ม 20,000 บาท
2) ลดความคุ้มครองแบตเตอรีรถยนต์ไฟฟ้ากรณีไหนบ้าง?
หลาย ๆ คนน่าจะทราบอยู่แล้วว่าใน #เกณฑ์ใหม่ประกันEV หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา มีความเสี่ยงว่าประกันรถยนต์จะรับผิดชอบความเสียหายของแบตเตอรีรถของเราแค่ ‘บางส่วน’
แต่นั่นอาจจะเป็นความเข้าใจเพียงส่วนเดียว เพราะว่าการ ‘ลดความคุ้มครองแบตเตอรี่’ จะถูกแบ่งการเกิดอุบัติเหตุออกเป็น 2 กรณีคือ
- ชนจนแบตเตอรีเสียหายจนต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ทั้งลูก
- ชนแบตเตอรีแต่สามารถซ่อมได้
ในกรณีที่ 1. ชนจนแบตเตอรีเสียหายจนต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ทั้งลูก แบบนี้จะถูกนำการ ‘ลดความคุ้มครองแบตเตอรี่’ มาใช้ โดยคำนวณค่าเสื่อมลดลงไปปีละ 10% (ลดสูงสุดเหลือ 50%)
- โดยเราสามารถ ‘ซื้อความคุ้มครองแบตเตอรี่เพิ่ม’ เพื่อไม่ให้ลดความคุ้มครองได้ในราคาหลักร้อยเท่านั้น (ในปีแรก ๆ)
- และหากบริษัทประกันนำแบตเตอรี่ก้อนที่เปลี่ยนออกไปขายทอดตลาดได้ เราจะได้รับส่วนแบ่งตามสัดส่วนที่เราต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่ (10-50%)
ส่วนในกรณีที่ 2. ชนแบตเตอรี่แต่สามารถซ่อมได้ หากเกิดอุบัติเหตุแบบนี้บริษัทประกันจะรับผิดชอบค่าซ่อมเต็ม 100% ไม่มีการลดความคุ้มครองใด ๆ
3) บังคับระบุชื่อผู้ขับขี่ จำเป็นแค่ไหน ทำไมต้องทำ?
การทำประกันภัยรถยนต์แบบระบุผู้ขับขี่ก่อนหน้านี้จะเป็น ‘ตัวเลือก’ ที่ทุกคนสามารถเลือกหรือไม่เลือกระบุผู้ขับขี่ก็ได้ แต่สำหรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าในวันนี้ จะเป็นการ ‘บังคับ’ ระบุผู้ขับขี่เท่านั้นครับ
โดยเหตุผลที่ต้องบังคับระบุผู้ขับขี่ นั่นก็เป็นเพราะว่าทางผู้ออกเกณฑ์ใหม่นี้ ต้องการที่จะเก็บรวบรวม ข้อมูลและประวัติการขับขี่ ของผู้ขับรถยนต์ไฟฟ้า ‘ทุกคน’ เพื่อที่จะนำไปใช้เป็น ‘ส่วนลดพฤติกรรมการขับขี่’ ในอนาคตได้นั่นเองครับ
และถ้าหากใครเลือกที่จะ ‘ไม่ระบุผู้ขับขี่ หรือ ให้ผู้ที่ไม่ได้ระบุชื่อไว้เป็นคนขับรถ’ แล้วเกิดอุบัติเหตุเป็นฝ่ายผิด จนต้องเคลมกับประกันขึ้นมา จะสามารถเคลมได้ครับ แต่ จะต้องจ่ายเงิน ค่าเสียหายส่วนแรกก่อนจำนวน 6,000 บาทก่อนที่บริษัทประกันจะเคลมให้
นอกจากนี้ยังได้ข่าวแว่ว ๆ มาด้วยว่า การบังคับระบุผู้ขับขี่นี้ อาจจะเริ่มทดลองใช้กับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าก่อน และ จะขยายผลไปยังประกันภัยรถยนต์ทุกชนิดในอนาคต
4) กรณีเกิดอุบัติเหตุจากความผิดพลาดของ software
หลัก ๆ ของ #เกณฑ์ใหม่ประกันEV ข้อนี้ก็คือ ‘ยกเว้นความรับผิดชอบต่อความผิดพลาดของ software’ เพราะการประกันทำประกันภัยรถยนต์ มีจุดประสงค์เพื่อ ป้องกันความผิดพลาดและคุ้มครองอุบัติเหตุที่เกิดจากมนุษย์ เท่านั้น แต่ถ้าหากเกิดข้อผิดพลาดจนเกิดอุบัติเหตุจากระบบ software ของตัวรถเองอย่างเช่น ระบบ auto-pilot บริษัทประกันภัยจะไม่ได้รับผิดชอบในส่วนนี้นั่นเองครับ โดยแบ่งเป็น 2 กรณี
- กรณีเกิดอุบัติเหตุจากความผิดพลาดของ software เนื่องจากมีการตกแต่งหรือดัดแปลง แบบนี้ ‘ประกันรถยนต์ไม่คุ้มครอง’
ตัวอย่าง
- เอารถไป jailbreak โปรแกรม multi-media หรือ โปรแกรม software อื่น ๆ
- รถโดน hack ระบบจากปัจจัยภายนอก (Cyberbreach)
- กรณีเกิดอุบัติเหตุจากความผิดพลาดของ software เนื่องจากความผิดพลาดของผู้ผลิตหรือผู้จำหน่าย แบบนี้ ‘ประกันรถยนต์คุ้มครอง’
ตัวอย่าง
- ระบบช่วยขับขัดข้องมาตั้งแต่กระบวนการผลิต (เสียมาตั้งแต่โรงงาน)
- อัปเดต software จากผู้ผลิตแล้วเกิดขัดข้องจนเกิดอุบัติเหตุ
และทั้งหมดนี้ก็คือสรุปประเด็นสำคัญที่ต้องรู้ก่อนที่ทุกคนจะทำ ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า ในปี 2567
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
3 เทรนด์ด้าน Payment ที่ธุรกิจการเงินต้องจับตา
ถอดสูตรการสร้างคุณค่าร่วมแบบกรุงศรี ออโต้ เพื่อเป็นที่ 1 ในใจผู้ใช้รถ