Share on
×

Share

BTNC ดัน ‘A’MAZE Green Society’ ขับเคลื่อน Zero Waste ตอบโจทย์ ESG

บริษัท บูติคนิวซิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BTNC ผู้ดำเนินธุรกิจเสื้อผ้าแฟชั่นและยูนิฟอร์มชั้นนำ ได้นำเสนอโครงการ “A’MAZE Green Society” ภายในงาน Thailand Cvision Summit 2025 เพื่อตอกย้ำจุดยืนในการดำเนินธุรกิจที่สอดรับกับแนวทาง ESG (Environmental, Social, and Governance) สร้างความยั่งยืนให้แก่อุตสาหกรรมแฟชั่นไทย

ประวรา เอครพานิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บูติคนิวซิตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินโครงการ A’MAZE Green Society โดยนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาประยุกต์ใช้อย่างจริงจังในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบที่เน้นความทนทานเพื่อยืดอายุการใช้งาน, การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เป็น Timeless Design ที่สามารถสวมใส่ได้โดยไม่ตกยุค, ไปจนถึงการใช้รถไฟฟ้า EV ในการขนส่ง เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

จากปัญหาเศษผ้าสู่การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน

ประวราอธิบายว่า ในกระบวนการผลิตเสื้อผ้าโดยทั่วไป มีผ้าเพียงประมาณ 80% เท่านั้นที่ถูกนำไปใช้ในการตัดเย็บ ขณะที่อีก 20% กลายเป็นเศษผ้า (Waste) ซึ่งมักจะถูกกำจัดด้วยการเผา ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณสูงถึง 2.3 – 2.8 กิโลกรัมต่อผ้า 1 กิโลกรัม จากปัญหาดังกล่าว BTNC จึงเล็งเห็นโอกาสในการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้กำหนดแนวทางในการจัดการเศษผ้าส่วนเกินไว้อย่างชัดเจน คือ นำเศษผ้า 15% มาทำการอัพไซเคิล (Upcycle) ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ที่มีมูลค่า และนำอีก 5% ไปรีไซเคิล (Recycle) เพื่อแปรรูปกลับมาเป็นผ้าสำหรับการตัดเย็บอีกครั้ง

‘คู่ค้า’ และ ‘คู่คิด’: หัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จ

การรีไซเคิลและอัพไซเคิลให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดนั้น ไม่ใช่เพียงแค่มีแนวคิดแล้วจะสามารถลงมือทำได้ทันที แต่จำเป็นต้องอาศัยทั้ง ‘คู่ค้า’ และ ‘คู่คิด’ ที่เข้าใจในแนวทางเดียวกันกับ BTNC โดยในส่วนของคู่ค้า บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกซัพพลายเออร์ด้านวัสดุที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตที่เอื้อต่อการนำไปรีไซเคิลและนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น การร่วมมือกับบริษัท Moreloop ซึ่งเชี่ยวชาญด้านผ้าส่วนเกินจากอุตสาหกรรม (Surplus Fabric) โดย BTNC ได้จัดซื้อผ้าเหล่านั้นมาพัฒนาและผลิตเป็นสินค้าต่อไป

สำหรับการอัพไซเคิลเศษผ้าเหลือใช้ให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ BTNC ได้ร่วมมือกับคู่คิดซึ่งเป็นหน่วยงานและบริษัทต่าง ๆ ในหลายโครงการ ตัวอย่างเช่น โครงการ A’MAZE Flora ที่ร่วมกับมูลนิธิถันยรักษ์ นำเศษผ้ามาประดิษฐ์เป็นดอกไม้เพื่อจำหน่ายและส่งต่อรายได้สู่ผู้ป่วยมะเร็งเต้านม โครงการ ‘ระลึกรักษ์’ ที่ร่วมมือกับแบรนด์ ‘ลฤก’ (Laruek) ในการออกแบบและจัดทำ “พวงหรีดไร้ขยะ” ซึ่งสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้มากกว่า 2.9 กิโลกรัมต่อชิ้น นอกจากนี้ ยังมีโครงการ ‘Organic Indigo’ ที่ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร นำเสื้อยืดสีขาวที่มีตำหนิจากการลองของลูกค้า มาย้อมสีครามธรรมชาติเพื่อสร้างคุณค่าใหม่ ปัจจุบัน BTNC ยังได้ต่อยอดเปิดเป็นบริการย้อมครามให้แก่ลูกค้าทั่วไปอีกด้วย

ธุรกิจยูนิฟอร์ม: Beyond Uniform We Reuniform

นอกเหนือจากธุรกิจที่จำหน่ายสินค้าโดยตรงถึงผู้บริโภค (B2C) BTNC ยังดำเนินธุรกิจในรูปแบบ B2B โดยออกแบบและจัดทำชุดยูนิฟอร์มให้แก่องค์กรชั้นนำ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ White Label สำหรับเครื่องแบบบุคลากรทางการแพทย์ เช่น พยาบาล แพทย์ และชุดผู้ป่วย ซึ่ง BTNC เป็นหนึ่งในสิบบริษัทของไทยที่สามารถผลิตและจำหน่ายชุด PPE ได้มาตรฐาน Blue Label สำหรับเครื่องแบบพนักงานต้อนรับในองค์กรต่าง ๆ เช่น บริษัท King Power และ Gold Label สำหรับเครื่องแบบพนักงานธนาคาร เช่น ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB)

สำหรับประวรา ยูนิฟอร์มไม่ได้เป็นเพียงเสื้อผ้าสำหรับสวัสดิการ แต่มองว่า “แต่ละคนมาจากหลากหลายพื้นที่ หลากหลายหน้าตาและรูปร่าง การแต่งยูนิฟอร์มจึงเป็นเหมือนเครื่องมือที่ใช้ในการผนึกกำลังกันภายใต้ความหลากหลาย เพื่อแสดงออกถึงเอกลักษณ์ของความเป็นองค์กร” ภายใต้แนวคิด “Beyond Uniform, We Reuniform”

ปรัชญาการผลิตเพื่อคุณภาพที่แท้จริง

ประวรายังได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ในวันที่แนวคิด ESG เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจ สิ่งที่ BTNC ให้ความสำคัญจึงไม่ใช่แค่เรื่องคุณภาพของสินค้าเท่านั้น แต่ต้องมองลึกลงไปถึงกระบวนการผลิตทั้งหมด เพื่อให้สินค้ามีคุณภาพอย่างแท้จริง โดยยึดหลัก 3 แนวคิดสำคัญ ได้แก่ ‘ทน’ คือการเลือกใช้วัสดุที่มีความทนทาน เหมาะสมกับการใช้งาน, ‘พอดิบพอดี’ ด้วยการออกแบบเสื้อผ้าให้เข้ากับสรีระของผู้สวมใส่ และ ‘ความจำเป็น’ ผ่านการพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการจริง โดยไม่สร้างฟังก์ชันเกินจำเป็นซึ่งจะก่อให้เกิดของเสียจากการผลิต

“การทำ ESG นั้นเปรียบเสมือนแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกันของทุก ๆ ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคในรูปแบบ B2B หรือ B2C เลยอยากให้ทุกคนเลือกมองและสนับสนุนธุรกิจที่คิดมาเป็นอย่างดี คิดมาอย่างตั้งใจ การทำเช่นนั้นจะส่งผลให้ธุรกิจแฟชั่นเล็ก ๆ ในประเทศไทยสามารถคงอยู่ต่อไปได้” ประวรา กล่าวปิดท้าย

×

Share

ผู้เขียน