Share on
×

Share

โลกการเงินสีเขียว ความยั่งยืนผ่านมุมมอง 2 ยักษ์ใหญ่ SCBX และ KBank

เมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่คือความจริงที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน “ความยั่งยืน” (Sustainability) ได้แปรเปลี่ยนจากคำสวยหรูสู่ยุทธศาสตร์สำคัญที่ธุรกิจทั่วโลกต้องปรับตัว โดยเฉพาะภาคการเงิน ซึ่งเป็นดั่งเส้นเลือดใหญ่ของระบบเศรษฐกิจ ที่วันนี้ต้องลุกขึ้นมารับบทบาทผู้นำในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านครั้งประวัติศาสตร์นี้

สองผู้นำจากสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของไทย สุธีรพันธุ์ สักรวัตร Chief Customer Officer ของ SCBX และ ดร.วิชัย ณรงค์วณิชย์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ได้ร่วมวงสนทนาถึงอนาคตของการเงินที่ยั่งยืน (Sustainable Finance) ตั้งแต่จุดเริ่มต้น ความท้าทายที่ใหญ่หลวง และกลยุทธ์ที่ซับซ้อนในการนำพาธุรกิจและสังคมไทยมุ่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

จุดเริ่มต้น: เมื่อสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น

การตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อมในภาคธนาคารไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เป็นผลพวงจากสัญญาณเตือนที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ

สุธีรพันธุ์ ชี้ให้เห็นภาพใหญ่ว่า การประชุม COP (Conference of the Parties) ของสหประชาชาติได้วางกรอบและเป้าหมายร่วมกันของนานาชาติ ซึ่งบีบให้ทุกองค์กรต้องหันกลับมาทบทวนว่าธุรกิจของตนจะได้รับผลกระทบอย่างไร โดยเฉพาะกับประเทศไทยซึ่ง มีความเสี่ยงสูงเป็นอันดับ 9 ของโลก ที่จะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน

“ทำไมประเทศไทยถึงได้รับผลกระทบมาก? เพราะเราพึ่งพาเกษตรกรรมสูงมาก และอีกเครื่องยนต์ที่สำคัญคือการท่องเที่ยว ซึ่งทั้งสองอย่างนี้พึ่งพาสิ่งแวดล้อมโดยตรง ถ้าสิ่งแวดล้อมมีปัญหาเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหญ่ ๆ ของเราสองตัวจะได้รับผลกระทบที่สูงมาก” สุธีรพันธุ์ อธิบาย

ขณะที่ฝั่งธนาคารกสิกรไทย ดร.วิชัย ซึ่งมีประสบการณ์ในองค์กรมากว่า 23 ปี เล่าว่าแนวคิดนี้ถูกปลูกฝังมาอย่างยาวนานภายใต้ปรัชญา “Green DNA” ที่ริเริ่มโดยคุณบัณฑูร ล่ำซำ ซึ่งมองว่าองค์กรขนาดใหญ่มีพันธะต่อสังคม (Social License to Operate) และต้องคำนึงถึงผลกระทบในวงกว้าง ธนาคารได้พยายามเทียบเคียงตัวเองกับมาตรฐานสากลอย่าง DJSI (Dow Jones Sustainability Indices) มาเป็นเวลากว่า 15 ปีแล้ว และจุดเปลี่ยนสำคัญที่เร่งให้เกิดการลงมืออย่างจริงจัง คือแรงกดดันจากนักลงทุนต่างชาติเมื่อราว 5-6 ปีก่อน ที่เริ่มตั้งคำถามถึงเป้าหมาย Net Zero ของธนาคาร

ความท้าทายมหาศาล: จัดการคาร์บอนที่มองไม่เห็นใน Scope 3

สำหรับธุรกิจธนาคาร ความท้าทายที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การลดการปล่อยคาร์บอนจากการดำเนินงานโดยตรง (Scope 1 และ 2) เช่น การลดใช้ไฟฟ้าในอาคาร หรือการเปลี่ยนรถยนต์เป็น EV ซึ่งสามารถจัดการได้ แต่หัวใจหลักที่ซับซ้อนและใหญ่หลวงกว่าหลายเท่าตัวคือ Scope 3

สุธีรพันธุ์อธิบายอย่างเห็นภาพว่า Scope 3 คือการที่ธนาคารซึ่งธุรกิจหลักมาจากการให้สินเชื่อ เวลาให้สินเชื่อไปจะไปดูว่าสินเชื่อไปอยู่ในอุตสาหกรรมอะไร เช่น ถ้าปล่อยกู้ให้อุตสาหกรรมถลุงเหล็กหรือปูนซีเมนต์ ซึ่งปล่อยคาร์บอนเยอะมาก คาร์บอนนั้นจะถูกนับกลับมาเป็นภาระของธนาคารด้วย

ดร.วิชัย ได้ตอกย้ำขนาดของความท้าทายนี้ด้วยตัวเลขที่น่าตกใจ “ถ้าเทียบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเราใน Scope 1 และ 2 เป็น X ตัว Scope 3 จากการปล่อยสินเชื่อของเรานั้น ใหญ่กว่าถึงประมาณ 680 เท่า มันเป็นโจทย์ที่ใหญ่มาก”

นี่คือเหตุผลที่ “Green Finance” หรือ “Green Loan” กลายเป็นหัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์ เพราะหนทางเดียวที่จะลดคาร์บอนใน Scope 3 ได้ คือการทำงานร่วมกับลูกค้าเพื่อเปลี่ยนผ่านธุรกิจของพวกเขาสู่แนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

พิมพ์เขียวสู่การเปลี่ยนผ่าน: กลยุทธ์จากสองยักษ์ใหญ่

เมื่อเผชิญกับโจทย์ที่ท้าทาย ทั้งสององค์กรต่างพัฒนากลยุทธ์และเครื่องมือที่เป็นรูปธรรมขึ้นมา SCBX ใช้โครงสร้างองค์กรที่เรียกว่ายานแม่และยานลูกเข้ามาขับเคลื่อน โดยแบ่งธุรกิจเป็น 3 รุ่น (Generation) เพื่อตอบโจทย์ที่แตกต่างกัน

Gen 1 คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นเครื่องยนต์หลักในการปล่อยสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน ล่าสุดได้ประกาศปล่อยสินเชื่อเพื่อการเปลี่ยนผ่าน (Transition Finance) ไปแล้ว 1.8 แสนล้านบาท จากเป้าหมายแรก 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งแม้จะยังไม่ถึง 10% ของพอร์ตสินเชื่อรวมกว่า 2.4 ล้านล้านบาท แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ

Gen 2 คือ Consumer & Digital Finance ได้แก่ บริษัทอย่าง CardX, AutoX (เงินไชโย) และ Monix เน้นเรื่องการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion)

Gen 3 คือ Platform & Technology มีบริษัทอย่าง Token X ที่กำลังศึกษาเรื่องการทำ ICO และการแปลงสินทรัพย์เป็นโทเคน ซึ่งรวมถึง Renewable Energy Certificate (REC) เพื่อสร้างตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต และ SCB10X ที่ลงทุนในเทคโนโลยีแห่งอนาคต รวมถึงตั้งกองทุนร่วมกับ TPG Rise เพื่อลงทุนใน Climate Tech ทั่วโลก

ด้านธนาคารกสิกรไทย ก้าวไปไกลกว่าแค่การเป็นผู้ให้สินเชื่อ สู่การเป็นผู้ให้บริการโซลูชันด้านสภาพภูมิอากาศครบวงจร (Comprehensive Climate Solution) โดยมีเป้าหมายเชิงรุก ตั้งเป้าสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน 2 แสนล้านบาทภายในปี 2030 ซึ่งเพียง 2-3 ปี ก็ทำไปได้แล้วกว่า 75% และคาดว่าจะต้องปรับเป้าหมายให้สูงขึ้นตามความมุ่งมั่นของประเทศ

มีโซลูชัน Beyond Banking ตั้งบริษัทลูก K-Climate 1.5 เพื่อให้บริการแพลตฟอร์มคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์แก่ลูกค้า พร้อมทีมงานที่เข้าไปให้คำปรึกษาเพื่อหาแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมีนวัตกรรมเพื่อสังคม ด้วยการสร้างโครงการที่จับต้องได้ เช่น “Green Pass” ที่ช่วยรวบรวมและขึ้นทะเบียน REC ให้กับลูกค้ารายย่อยที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่บ้าน หรือ Watt’s Up แพลตฟอร์มสร้างระบบนิเวศจักรยานยนต์ไฟฟ้า (EV Bike) พร้อมสถานีสลับแบตเตอรี่

ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก: จังหวะเวลา ความสามารถในการทำกำไร และการเข้าถึง

หนึ่งในประเด็นที่ท้าทายที่สุดในการเปลี่ยนผ่านคือเรื่องของ “จังหวะเวลาและความเร็ว” สุธีรพันธุ์ กล่าวว่า “เรื่องนี้ทำเร็วไปก็ไม่ดี ในวันที่เทคโนโลยียังไม่พร้อมหรือมีราคาสูง อาจกระทบ Financial Sheet ของผู้ประกอบการ แต่ทำช้าไปก็ไม่ดี อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน จุดที่ Sweet Spot ที่สุดคือต้องทำในสปีดที่เหมาะสม ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก”

ขณะเดียวกันการจะผลักดันให้ธุรกิจโดยเฉพาะ SME ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของประเทศ หันมาสนใจเรื่องนี้ ดร.วิชัยได้ให้มุมมองว่า “ทำกรีนต้องกินได้” ซึ่งเป็นคำกล่าวของ จรีพร จารุกรสกุล CEO ของ WHA สะท้อนว่าการลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียวต้องมีความคุ้มค่าและสมเหตุสมผลในเชิงธุรกิจ

ด้วยเหตุนี้ ธนาคารจึงต้องมองการสนับสนุนอย่างเป็นระบบ ผ่าน 3 เกณฑ์หลัก คือ 1. ทคโนโลยีต้องทำได้จริง (Feasible) 2.ธุรกิจต้องอยู่รอดและมีกำไร (Business Viability) และ 3.โครงการต้องมีความสามารถในการชำระหนี้ (Bankability)

ถนนสู่อนาคต: อุดช่องว่างการลงทุนและสร้างแรงจูงใจ

ดร.วิชัยให้ข้อมูลว่า ทั่วโลกยังต้องการเม็ดเงินลงทุนเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero อีกมหาศาลราว 6.7-10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แต่ปัจจุบันมีการลงทุนจริงเพียง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ขณะที่ประเทศไทยเองก็ต้องการเงินลงทุนถึง 15.3 ล้านล้านบาทภายในปี 2035 ช่องว่างมหาศาลนี้คือโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของภาคการเงิน

การจะอุดช่องว่างนี้ได้ต้องอาศัยปัจจัยเร่งหลายอย่างพร้อมกัน ทั้ง “ไม้เรียว” คือกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนจากภาครัฐ เช่น มาตรการภาษีคาร์บอน และ “แครอท” คือแรงจูงใจทางการเงิน เช่น กองทุนลดหย่อนภาษีอย่าง Thai ESG รวมถึงการสร้างตลาดที่ทำให้ความ “กรีน” มีมูลค่าที่ซื้อขายได้จริง

โลกการเงินกำลังอยู่บนคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ การเดินทางสู่ความยั่งยืนเป็นโจทย์ที่ซับซ้อนและไม่มีคำตอบสำเร็จรูป แต่ทิศทางนั้นชัดเจนและไม่อาจหวนกลับได้อีกต่อไป มันคือภารกิจร่วมกันของทุกภาคส่วน ที่จะต้องหาจุดสมดุลระหว่างการรักษ์โลก การเติบโตทางเศรษฐกิจ และการดูแลสังคม เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

LINE ประเทศไทย แต่งตั้ง ‘นรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร’ นั่ง CEO คนใหม่ มีผล 1 ก.ค. 68

อบาคัส ดิจิทัล ตั้ง ‘ทับขวัญ หอมจำปา’ รักษาการ CEO เดินหน้าปักธงผู้นำฟินเทคไทย

×

Share

ผู้เขียน