ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงโลกอย่างรวดเร็ว อาเซียนกำลังก้าวขึ้นเป็นดาวรุ่งแห่งนวัตกรรมระดับโลก ด้วยประชากรกว่า 600 ล้านคน และความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่มีศักยภาพมหาศาล ภูมิภาคนี้พร้อมหรือยังที่จะก้าวสู่การเป็น “ชาติเทคโนโลยี” บนเวทีโลก? เพื่อไขคำตอบนี้ ผู้นำด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจจากทั่วภูมิภาคได้มารวมตัวกันที่เวที Techsauce Summit 2025 ภายใต้หัวข้อ “Shaping Southeast Asia into the World’s Next Tech Nations” เพื่อร่วมกันวิเคราะห์โอกาสและความท้าทายที่ซ่อนอยู่ในการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญนี้
วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิที่มาร่วมแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ในครั้งนี้ประกอบด้วย Rudiantara ประธาน Nexticorn Foundation และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศของอินโดนีเซีย ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของไทย Anuar Fariz Fadzil ซีอีโอ Malaysia Digital Economy Corporation (MDEC) และ นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ของไทย
โอกาสและความท้าทายของอาเซียน
การสนทนาเริ่มต้นขึ้นด้วยมุมมองที่มองเห็นโอกาสอันมหาศาลของภูมิภาคอาเซียน โดย Rudiantara จากอินโดนีเซียกล่าวถึงประสบการณ์ในการพัฒนาสตาร์ตอัพว่า สตาร์ตอัพไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยรัฐบาลเพียงลำพัง แต่ต้องเกิดจากผู้ที่ไม่ยึดติดกับกฎระเบียบเดิม ๆ และมุ่งมั่นที่จะทำให้กระบวนการต่าง ๆ เป็นไปอย่างเป็นประชาธิปไตย ซึ่งสตาร์ตอัพคือผู้ที่ทำสิ่งนี้ได้ดีที่สุด
เขายกตัวอย่างการที่อินโดนีเซียผลักดันโครงการ “1,000 Startup movement” และมี Unicorn (สตาร์ตอัพที่มีมูลค่าเกิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา) เกิดขึ้นถึง 12 ราย และแนะว่าบทบาทของรัฐบาลควรเปลี่ยนจาก “ผู้ควบคุม” ไปสู่ “ผู้อำนวยความสะดวก” และ “ผู้เร่ง” โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เงินลงทุนไม่ได้หาง่ายเหมือนในอดีต
นอกจากนี้เขายังเตือนว่า การควบคุม AI ควรทำบนหลักการไม่ใช่กฎเกณฑ์ เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป
ด้าน Anuar Fariz Fadzil จากมาเลเซียกล่าวว่า ประชากรในอาเซียนกว่า 90% อาศัยอยู่ในเมือง และคุ้นชินกับเทคโนโลยีในชีวิตประจำวันเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนา แต่ในขณะเดียวกันก็มีความท้าทายในการตามให้ทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เทคโนโลยีเปลี่ยนไปเร็วมากจนยากที่จะตามทัน ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ ว่าในยุค 90s เครื่องแฟกซ์คือเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย แต่ในปี 2010 ก็กลายเป็นของล้าสมัยไปแล้ว” เขากล่าว พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้ AI ในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะและการบริหารจัดการข้อมูล
สำหรับประเทศไทย ดร.พิเชฐ ยอมรับว่า ในการพัฒนา AI มาเลเซียและอินโดนีเซียทำได้ดีมาก แต่ประเทศไทยยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งสงครามการค้า ปัญหาเศรษฐกิจ และความขัดแย้งภายใน แต่ก็มองเห็นโอกาสในการใช้ AI เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาเหล่านี้
เขาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI โดยเฉพาะ Large Language Model (LLM) ภาษาไทย เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงและพัฒนาต่อยอดได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังเสนอให้มีการส่งเสริม AI for Sector เช่น AI สำหรับการแพทย์ การท่องเที่ยว และการเกษตร ส่งเสริม “AI for All” ด้วยการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะ AI ให้กับประชาชนทุกกลุ่ม รวมถึงกำหนดวาระ “One Ministry, One AI initiative” หรือ “หนึ่งกระทรวง หนึ่ง AI” เพื่อให้แต่ละกระทรวงนำ AI มาใช้ในการทำงาน
“และสุดท้าย เราต้องดูเรื่องธรรมาภิบาลของ AI ดูว่าจะปกป้องประชากรของเราจาก AI ได้อย่างไร” ดร.พิเชฐ กล่าว
ด้านนฤตม์ จาก BOI ของไทย ให้ข้อมูลว่า แม้ประเทศไทยจะเผชิญความท้าทายมากมาย แต่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยก็มีการเติบโตด้านอุตสาหกรรมดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง โดยมีการลงทุนในโครงการดิจิทัลกว่า 600 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 300 ล้านบาท และล่าสุดในครึ่งปีแรกของปี 2025 มีโครงการลงทุนใหม่กว่า 80 โครงการ รวมถึง ดาต้า เซ็นเตอร์ใหม่ 30 แห่ง รวมมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน การสื่อสาร และบุคลากรที่มีคุณภาพ รวมถึงนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริม เช่น นโยบาย Cloud First และระบบการเงินดิจิทัล PromptPay
‘อาเซียนต้องเป็นหนึ่ง’
สำหรับการสร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่งในภูมิภาค Rudiantara ได้นำเสนอแนวคิดว่า ในเศรษฐกิจดิจิทัล ต้องทำตามการเคลื่อนไหวของผู้คน เขาเสนอให้ใช้โอกาสจากการเดินทางท่องเที่ยวภายในอาเซียนที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง เพื่อขับเคลื่อนระบบการชำระเงินข้ามพรมแดน (Cross-border Payment) ให้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความยุ่งยากในการแลกเปลี่ยนเงินตรา และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาลให้กับภูมิภาค
“อินโดนีเซียและไทยเริ่มระบบการชำระข้ามแดนแล้ว นักท่องเที่ยวสามารถใช้ QR Code ชำระเงินได้ โดยไม่ต้องแลกเงินดอลลาร์เป็นบาทอีกต่อไป” เขากล่าว พร้อมคาดการณ์ว่าในปี 2025 จะมีธุรกรรมลักษณะนี้เกิดขึ้นมากกว่าแสนครั้ง และจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาลให้กับอาเซียน
ด้าน Anuar มองว่าอาเซียนอยู่ในสถานะที่น่าสนใจคือเป็นทั้งคู่แข่งและพันธมิตรในเวลาเดียวกัน การสร้างความร่วมมือจึงต้องอาศัยกลไกที่มีประสิทธิภาพ เขาเน้นถึงการเป็นพันธมิตรระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะบริษัทเอกชนสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ดีกว่า และรัฐบาลก็ต้องปรับตัวให้รวดเร็วขึ้น
ส่วนดร.พิเชฐ เสนอว่า อาเซียนควรจะตั้ง “ASEAN AI Working Group” เพื่อร่วมกันพัฒนา AI สำหรับภาคส่วนที่มีประโยชน์ร่วมกัน
“การมุ่งเน้นแค่จริยธรรมของ AI เพียงอย่างเดียวไม่พอ เราต้องทำให้ผู้ประกอบการและนักนวัตกรรมในอาเซียนสามารถพัฒนา AI Engine ของตัวเองได้” เขากล่าว และเสนอให้ประเทศในอาเซียนรวมตัวกันเพื่อเจรจาในประเด็นสำคัญ เช่น การจัดเก็บภาษีจากสินค้าที่ไม่ใช่เชิงกายภาพ หรือข้อมูลของประชาชนที่บริษัทต่างชาติกำลังใช้ประโยชน์อยู่โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ
“เราในฐานะประเทศเล็ก ๆ แต่ละประเทศไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้ลำพัง แต่ถ้าเรารวมกัน 600-700 ล้านคน เราจะสามารถเจรจาต่อรองได้”
วิสัยทัศน์สู่อนาคต
ในช่วงสุดท้ายของงาน วิทยากรทุกท่านได้ฝากข้อคิดและวิสัยทัศน์สำหรับอนาคต โดย Rudiantara เชื่อมั่นว่าสตาร์ตอัพคือผู้ที่สร้างอนาคตได้จริง โดยรัฐบาลมีหน้าที่เพียงแค่อำนวยความสะดวก และควรหลีกเลี่ยงการออกกฎระเบียบที่มากเกินไป
“บางครั้งการขออนุญาตจากรัฐบาลก็เป็นอุปสรรคมากกว่าจะช่วยให้ธุรกิจดีขึ้น” เขากล่าว
ดร.พิเชฐ เรียกร้องให้เหล่าสตาร์ตอัพรวมพลังช่วยสร้างความหวังและโอกาสให้กับสังคมไทย โดยเฉพาะในห้วงที่สังคมไทยเปราะบางมาก
“อย่ายอมแพ้และอย่าสิ้นหวัง พวกเรามีพลังมากกว่านั้น” เขากล่าว พร้อมแนะนำให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่หันไปช่วย SMEs หรือเกษตรกรในการใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับขีดความสามารถ
“พวกคุณมี iPad แต่เกษตรกรไม่มี พวกคุณมีความรู้ด้าน IoT และ AI พวกคุณสามารถใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นช่วยเกษตรกรของเราได้”
ด้าน Anuar ฝากคำแนะนำว่า อาเซียนไม่ควรเจรจาธุรกิจเป็นรายประเทศ เพราะแต่ละประเทศมีประชากรน้อยเกินไป แต่ถ้ารวมกัน ภูมิภาคนี้จะมีประชากร 600-700 ล้านคน การเจรจาธุรกิจจะมีพลังมากกว่า
ส่วนนฤตม์ทิ้งท้ายว่า ความสามารถด้านบุคลากรคือกุญแจสำคัญ และเห็นด้วยว่าอาเซียนควรใช้ประโยชน์จากตลาดขนาดใหญ่ของภูมิภาค เพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถและผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก เพื่อช่วยเร่งการพัฒนาและส่งเสริมการเคลื่อนย้ายบุคลากรภายในภูมิภาค
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
‘CEO Playbook’ ชัยวัฒน์ วาวิสารัช เผยกลยุทธ์ปั้น ‘บางจาก’ สู่ S-Curve พลังงาน
‘ทักษะอนาคต’ ต้องรู้อะไรบ้างในยุค AI ถึงจะรอดและรุ่ง