ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามาเปลี่ยนโลกของการทำงานอย่างรวดเร็ว คำถามสำคัญที่อยู่ในใจของทุกคน คือเราจะเตรียมความพร้อมให้คนรุ่นใหม่ ตั้งแต่นักศึกษาไปจนถึงคนทำงานมืออาชีพ ให้สามารถเติบโตและก้าวไปข้างหน้าในภูมิทัศน์ที่ผันผวนนี้ได้อย่างไร?
เวทีเสวนาหัวข้อ “Unsettling Workforce: Building the AI-Ready for Tomorrow” ได้รวบรวมมุมมองที่น่าสนใจจาก 3 ภาคส่วนสำคัญ ได้แก่ ภาคนโยบาย ภาคการศึกษา และภาคอุตสาหกรรม เพื่อร่วมกันสำรวจความหมายของการเป็น “คน” ที่พร้อมสำหรับยุค AI อย่างแท้จริง
ผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) Marc Kramer รองศาสตราจารย์ หลักสูตรผู้ประกอบการและนวัตกรรม VinUniversity และ ดร.พิณนรี ธีร์มกร อาจารย์ด้านกลยุทธ์ AI จากสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
แผนยุทธศาสตร์ชาติ: เป้าหมายสร้างคนไทย 10 ล้านคนให้ใช้ AI เป็น
ศ.ดร.ศุภชัย กล่าวว่าประเทศไทยมีคณะกรรมการ AI แห่งชาติซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และได้วางแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565 – 2570) ไว้อย่างชัดเจน โดยมีวิสัยทัศน์ในการสร้างระบบนิเวศที่ครบถ้วนและเชื่อมโยง เพื่อส่งเสริมการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ที่มีประสิทธิภาพสูง

แผนดังกล่าวแบ่งการพัฒนาบุคลากรออกเป็นสามระดับ โดยระดับพื้นฐานตั้งเป้าสร้างผู้ใช้งาน AI (AI Users) ให้ได้ 10 ล้านคนภายในปี ค.ศ. 2027 จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 1 ล้านคน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า ตามมาด้วยระดับกลางที่มุ่งพัฒนาผู้เชี่ยวชาญด้าน AI (AI Professionals) จำนวน 90,000 คน และระดับสูงที่มีเป้าหมายเพื่อผลิตนักวิจัยและนักพัฒนา AI อีก 50,000 คน
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้อนุมัติให้จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้าน AI (AI Center of Excellence) ในหลากหลายสาขา ทั้งด้านการศึกษา เกษตรกรรม สุขภาพ อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ การผลิต การท่องเที่ยว และภาครัฐ เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของ AI อย่างครบวงจร และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้ทัดเทียมนานาชาติ
เมื่อ AI ไม่ได้ให้ “ความจริง”: ทักษะที่สำคัญกว่าการใช้เครื่องมือ
ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือธรรมชาติของ AI แม้ว่านักศึกษาจะเริ่มใช้เครื่องมืออย่าง ChatGPT ช่วยทำการบ้านหรือเขียนเรียงความ แต่ดร.พิณนรี ย้ำว่าสิ่งที่ AI มอบให้นั้นไม่ใช่ข้อเท็จจริง (facts) แต่เป็นการสังเคราะห์ข้อมูลตามรูปแบบที่เรียนรู้มา ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหา “AI Hallucination” หรือการสร้างข้อมูลที่ไม่มีอยู่จริงได้อย่างแนบเนียน เธอพบว่าไม่ใช่แค่นักศึกษาระดับปริญญาตรี แต่แม้กระทั่งนักศึกษาปริญญาโทและเอกก็ยังพลาดท่าอ้างอิงเว็บไซต์หรือแหล่งข้อมูลที่ AI สร้างขึ้นมาเอง
ดังนั้น การสร้างภูมิคุ้มกันและทักษะที่จำเป็นในการใช้งานจึงต้องตั้งอยู่บนหลัก 3 ประการคือ ตรวจสอบ (Verify) โปร่งใส (Transparent) และ รับผิดชอบ (Accountable) ผู้ใช้ต้องตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลทุกครั้งก่อนนำไปใช้ ต้องเปิดเผยว่ามีการใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วย และที่สำคัญที่สุดคือต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อผลลัพธ์
ทั้งหมด ดร.พิณนรี เล่าถึงกรณีนิสิตที่พยายามปฏิเสธความรับผิดชอบโดยอ้างว่า “เป็นผลงานจาก AI อย่าหักคะแนนผมเลย” ซึ่งเป็นทัศนคติที่ไม่ถูกต้อง
หากพนักงานต้องหันไป “ถาม AI ก่อน” ทุกครั้งที่จะตอบคำถามเจ้านาย นั่นหมายความว่า เจ้านายไม่จำเป็นต้องมีพนักงานคนนั้นอีกต่อไป สิ่งที่องค์กรต้องการ คือความคิดริเริ่มที่เป็นต้นฉบับ (Original Thinking) โดยใช้ AI เป็นเพียงเครื่องมือหาข้อมูลเบื้องหลังเพื่อสนับสนุนความคิดของเรา ไม่ใช่ใช้ AI เพื่อเป็นคนคิดแทน
ดร.พิณนรี ยังชี้ให้เห็นถึงผลกระทบสองด้านของ AI ว่าแม้มันจะสามารถยกระดับประสิทธิภาพของคนโดยเฉลี่ยให้สูงขึ้นได้ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจทำให้คุณภาพของงานกระจุกตัวอยู่ตรงกลาง และลดโอกาสที่จะได้เห็นผลงานที่ “โดดเด่น” หรือ “เป็นเลิศ” อย่างแท้จริง เพราะทุกคนใช้เครื่องมือเดียวกันในการสร้างสรรค์ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นทางจริยธรรมอื่นๆ ที่ต้องตระหนัก เช่น อคติในข้อมูล (Biases) ข่าวปลอม (Misinformation) การสร้าง Deepfake เพื่อโจมตีบุคคล ไปจนถึงความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Data Privacy)
ทักษะแห่งอนาคต: Entrepreneurial Mindset และ Critical Thinking
เมื่อ AI เข้ามาทำงานซ้ำซากและงานวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นได้ดีกว่ามนุษย์ ทักษะที่เคยเป็นที่ต้องการในระดับเริ่มต้นจึงถูกลดทอนความสำคัญลง ผู้ประกอบการที่สร้างธุรกิจมาแล้วกว่า 30 แห่ง ชี้ว่าโลกการทำงานยุคใหม่จะผลักดันให้คนรุ่นใหม่ข้ามผ่านงานน่าเบื่อไปสู่บทบาทที่ต้องใช้ ความคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic Thinking) ที่ท้าทายและน่าสนใจมากขึ้นได้เร็วกว่าเดิม บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำอย่าง McKinsey หรือ BCG ไม่ต้องการ กองทัพนักวิเคราะห์รุ่นเยาว์ที่ทำเพียงแค่วิจัยตลาดอีกต่อไป แต่ต้องการคนที่สามารถตีความข้อมูลที่หาได้ง่ายอยู่แล้ว และนำเสนอความคิดเห็นเชิงกลยุทธ์ที่มีคุณค่าได้
นี่คือจุดที่ทักษะการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Mindset) เข้ามามีบทบาทสำคัญ Marc Kramer มองว่าทักษะนี้ไม่ใช่แค่สำหรับคนที่จะสร้างธุรกิจของตัวเอง แต่เป็นกรอบความคิดที่ทุกคนในองค์กรต้องมี คือความสามารถในการมองเห็นโอกาส ความกล้าที่จะเสี่ยงและทำลายกฎเกณฑ์เดิม ๆ และการสร้างสรรค์สิ่งใหม่อยู่เสมอเพื่อไม่ให้องค์กรกลายเป็นเหมือน Blockbuster หรือ Kodak ที่ถูกดิสรัปหายไปจากตลาด เขาเชื่อว่าทักษะนี้จะช่วยให้ประเทศอย่างไทยสามารถแข่งขันกับประเทศที่พัฒนาแล้วได้ เพราะเทคโนโลยี AI ที่เข้าถึงง่ายขึ้นจะเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์สามารถสร้างยูนิคอร์นได้มากขึ้น
ในขณะเดียวกัน ศ.ดร.ศุภชัย เน้นย้ำว่าทักษะที่สำคัญที่สุดที่สถาบันการศึกษาต้องปลูกฝังคือ ทักษะด้าน Soft Skills โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) “เพราะหากเราเชื่อทุกสิ่งที่ AI บอก สมองของเราก็จะหยุดพัฒนาทักษะการวิเคราะห์ การตั้งคำถาม การต่อรอง การทำงานร่วมกับผู้อื่นและเทคโนโลยี และความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง (Adaptability) คือสิ่งที่ AI ไม่สามารถทำแทนได้ และจะเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างให้กับมนุษย์ในโลกยุคใหม่”
รายได้ตามการเรียนรู้
เมื่อความเปลี่ยนแปลงจาก AI เกิดขึ้นเร็วกว่ายุคปฏิวัติอุตสาหกรรมหลายเท่าตัว และอาจนำไปสู่ภาวะว่างงานครั้งใหญ่ ประเด็นเรื่องโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมจึงถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงอย่างเข้มข้น แนวคิดเรื่อง รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า (Universal Basic Income – UBI) ซึ่งรัฐจะจ่ายเงินให้ประชาชนทุกคนไม่ว่าจะทำงานหรือไม่ ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในทางออก
อย่างไรก็ตาม MarkKramer แย้งว่า UBI ไม่เคยประสบความสำเร็จจริงในสหรัฐฯ และมักจบลงด้วยการที่บริษัทต่าง ๆ ขึ้นราคาสินค้าเพื่อชดเชยต้นทุน เขาเสนอทางออกที่ยั่งยืนกว่าในมุมมองของนักทุนนิยมคือ การแบ่งปันผลกำไร (Profit Sharing) โดยรัฐอาจกำหนดให้บริษัทที่มีขนาดใหญ่เกิน 50 คนขึ้นไป ต้องมีแผนแบ่งปันผลกำไรให้พนักงานอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำที่ถ่างกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งปัจจุบัน CEO บางคนมีรายได้มากกว่าพนักงานทั่วไปหลายแสนเท่าตัว เขาชี้ว่าปัญหานี้ไม่ใช่การขาดแคลนเงิน แต่เป็นการกระจุกตัวของความมั่งคั่งอย่างมหาศาล พร้อมยกตัวอย่างบริษัทอย่าง Apple ที่มีเงินสดในมือหลายแสนล้านดอลลาร์ แต่กลับเลย์ออฟพนักงานเป็นหมื่นคน ซึ่งสะท้อนถึงการไม่นำความมั่งคั่งกลับมาลงทุนใน “คน”
ทางด้าน ดร.พิณนรี ได้เสนอแง่มุมที่ซับซ้อนและน่าสนใจยิ่งขึ้น เธอเห็นด้วยกับแนวคิด Profit Sharing พร้อมเล่าประสบการณ์จากธุรกิจครอบครัวว่านโยบายนี้ช่วยสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของและกระตุ้นให้พนักงานทุกคนทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่
และนำเสนออีกสองแนวคิดเพิ่มเติม แนวคิดแรกคือ รายได้ที่ผูกกับการเรียนรู้ (Income Conditioned on Learning) คือ รัฐจะให้เงินสนับสนุนแก่ผู้ที่เต็มใจจะเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ซึ่งเป็นการสร้างแรงจูงใจให้คนปรับตัวอยู่เสมอ การประเมินการเรียนรู้ได้ในยุคที่ใช้ AI ช่วยทำข้อสอบได้ คือผู้เรียนรู้วิธีใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งก็ถือเป็นทักษะที่ควรได้รับการประเมินและให้คุณค่า
นอกจากนี้ เธอยังได้ยกตัวอย่างนโยบายสังคมจากประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย ที่รัฐไม่สนับสนุนให้คนเป็นเจ้าของบ้าน แต่ให้เช่าจากรัฐแทน เพื่อลดแนวคิดการสะสมความมั่งคั่งเพื่อส่งต่อให้ลูกหลาน และนำทุนเหล่านั้นกลับมาหมุนเวียนเพื่อพัฒนาประเทศโดยรวม ซึ่งเป็นแนวทางที่กระตุ้นให้เกิดการลงทุนในสังคมมากกว่าการเก็บออมส่วนบุคคล
ไม่ต้องกลัว AI แต่จงเรียนรู้ให้เร็วกว่า
ท้ายที่สุด ผู้ร่วมเสวนาทุกคนเห็นตรงกันว่า มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่ออยู่นิ่งเฉย การทำงานไม่ได้ให้แค่ “เงิน” แต่ยังให้ความหมายและเป้าประสงค์ในการใช้ชีวิต (Purpose) AI จะเข้ามาทำงานที่คนไม่อยากทำ และเปิดโอกาสให้คนมีเวลาไปทำในสิ่งที่สร้างสรรค์และมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น
ดร.พิณนรี ย้ำว่าโลกยุคนี้ไม่มีคำว่า “เรียนจบ” อีกต่อไป คนที่จะอยู่รอดคือคนที่ปรับตัวและเรียนรู้ตลอดชีวิต ด้าน Marc Kramer ชี้ว่าการสร้างทักษะความเป็นผู้ประกอบการและไม่กลัวความล้มเหลวคือหัวใจสำคัญ ขณะที่ ศ.ดร.ศุภชัย ทิ้งท้ายด้วยความเชื่อมั่นว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดและจะสามารถวิวัฒนาการทักษะใหม่ ๆ เพื่อทำงานร่วมกับ AI ได้ในที่สุด
เวทีเสวนานี้จึงไม่ใช่การมอง AI ในฐานะภัยคุกคาม แต่มองเป็นเครื่องมือทรงพลังที่จะปลดปล่อยศักยภาพของมนุษย์ให้ก้าวไปอีกขั้น สิ่งเดียวที่เราต้องทำคือ “เรียนรู้ให้เร็วกว่าที่เครื่องจักรเรียนรู้” เพื่อที่จะเป็นผู้ควบคุมเทคโนโลยี ไม่ใช่ผู้ที่ถูกควบคุมโดยเทคโนโลยี
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ถอดรหัส 5+1 Pillars: สูตร KBTG สร้าง ‘กองทัพ AI’ พลิกเกมธุรกิจ
ปั้นคนการบินพันธุ์ใหม่: SKY ICT จับมือ ม.เกษตรฯ ปูทางสู่ ‘ฮับการบิน’ ด้วยนวัตกรรมและคนรุ่นใหม่