ศาสตราจารย์ Danielle Wood ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัย Space Enabled แห่งสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (NASA) ได้นำเสนอแนวทางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศบนเวที KBTG Techtopia โดยระบุว่าเทคโนโลยีดาวเทียมเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาระดับโลกด้านความยั่งยืน และเชื่อมโยงโดยตรงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ของสหประชาชาติ
ในการบรรยาย ศาสตราจารย์ Wood กล่าวถึงโครงการความร่วมมือกับสถาบัน Pereira Passos ในเมืองริโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล ซึ่งมีการใช้ข้อมูลจากดาวเทียมเชิงพาณิชย์ของบริษัท GHG Sat เพื่อตรวจวัดการปล่อยก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีความรุนแรงสูง จากบ่อขยะ Gramacho ที่มีการดำเนินงานควบคู่ไปกับโรงงานแปรรูปก๊าซชีวภาพ ผลการตรวจวัดพบว่ามีหนึ่งวันที่อัตราการปล่อยก๊าซสูงถึง 8 ตันต่อชั่วโมง ซึ่งสูงกว่าอัตราปกติที่ 4 ตันต่อชั่วโมงถึงสองเท่า ข้อมูลดังกล่าวได้นำไปสู่การตรวจสอบภาคพื้นดินเพื่อหาสาเหตุของความผิดปกติดังกล่าว
ขณะเดียวกัน โครงการในประเทศแองโกลาซึ่งประชากรบางส่วนพึ่งพาเกษตรกรรมเลี้ยงสัตว์และเผชิญกับวัฏจักรภัยแล้งและอุทกภัยซ้ำซาก ได้มีการนำข้อมูลความชื้นในดินที่รวบรวมย้อนหลัง 10 ปีจากดาวเทียม SMAP ของ NASA มาวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลทางสังคมและประชากรศาสตร์ เพื่อระบุพื้นที่และชุมชนที่มีความเปราะบางสูงสุด ผลลัพธ์จากการวิเคราะห์ได้ถูกนำไปพัฒนาเป็นระบบสนับสนุนการตัดสินใจ “Angola Drought Decision Support” เพื่อให้รัฐบาลสามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างตรงจุด โดยศาสตราจารย์ Wood ยังได้กล่าวถึงดาวเทียมรุ่นต่อไปอย่าง NISAR ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง NASA และอินเดีย ที่จะช่วยให้การวัดผลมีความแม่นยำยิ่งขึ้นในอนาคต
ศาสตราจารย์ Wood ได้สรุปว่าความสำเร็จของโครงการเหล่านี้เกิดจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศใน 6 ด้านหลัก ได้แก่
การสำรวจโลก (Earth Observation) คือ การใช้ดาวเทียมที่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหลากหลายย่านความถี่เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของชั้นบรรยากาศ สุขภาพพืชพรรณ และอุณหภูมิพื้นผิวมหาสมุทร
การระบุตำแหน่งและการนำทาง (Positioning and Navigation) คือ เทคโนโลยี GPS ซึ่งเป็นรากฐานของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และบริการต่างๆ ในยุคปัจจุบัน
การสื่อสาร (Communication) ซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากการเกิดขึ้นของกลุ่มดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) ที่สามารถให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ทั่วถึงกว่าดาวเทียมวงโคจรค้างฟ้า (Geostationary) แบบดั้งเดิ
การถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer) เป็นการนำนวัตกรรมที่สร้างเพื่อใช้ในอวกาศมาประยุกต์ใช้บนโลก เช่น “วาล์วตรวจสอบจุลินทรีย์” (Microbial Check Valve) ที่ใช้กรองน้ำเสียบนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ซึ่งปัจจุบันถูกนำไปใช้ผลิตน้ำสะอาดในหลายประเทศ เช่น มาเลเซีย อิรัก และเม็กซิโก
การวิจัยในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง (Microgravity Research) ซึ่งกำลังจะเข้าสู่ยุคใหม่หลังจากการปลดระวางของสถานีอวกาศนานาชาติ โดยจะมีสถานีอวกาศเชิงพาณิชย์ของภาคเอกชนเข้ามาเปิดโอกาสให้มหาวิทยาลัยและบริษัทต่างๆ สามารถส่งการทดลองขึ้นไปได้มากขึ้น
การวิจัยพื้นฐานทางอวกาศ (Fundamental Space Research) เช่น โครงการดาราศาสตร์ในประเทศชิลี ที่ไม่เพียงสร้างองค์ความรู้ แต่ยังช่วยพัฒนาขีดความสามารถของประเทศในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่และการท่องเที่ยว
“ภารกิจหลักของเราคือการขับเคลื่อนความยุติธรรมในระบบอันซับซ้อนของโลก โดยใช้การออกแบบที่ขับเคลื่อนด้วยอวกาศ” ศาสตราจารย์ Wood กล่าว พร้อมระบุว่าการลงทุนด้านอวกาศเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งประเทศไทยโดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ก็มีบทบาทในเรื่องนี้เช่นกัน
สำหรับประเด็นการเข้าถึงข้อมูล ศาสตราจารย์ Wood ให้ข้อมูลว่าข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น NASA และหน่วยงานอวกาศยุโรปนั้นเปิดให้สาธารณชนใช้งานโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ต้นทุนที่แท้จริงคือเวลาที่ต้องใช้ในการเรียนรู้เพื่อใช้งานข้อมูลเหล่านั้น ดังนั้น การลงทุนด้านการพัฒนาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์และประยุกต์ใช้ข้อมูลจึงเป็นปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จ