คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนา “พิรงรอง Effect” วิเคราะห์ผลกระทบจากคดีความที่ส่งผลต่ออนาคตของ กสทช. และวงการสื่อไทย พร้อมออกแถลงการณ์หนุน ศ. ดร.พิรงรอง รามสูต ยืนหยัดหลักการและปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ
แถลงการณ์คณะนิเทศศาสตร์ โดย รองศาสตราจารย์ดร.ปรีดา อัครจันทโชติ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ตามที่บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ได้ยื่นฟ้องศาสตราจารย์กิตติคุณดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือกสทช. ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และศาลอาญาคดีทุจริต และประพฤติมิชอบกลางได้มีคำพิพากษาตัดสินจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญานั้น
คณะนิเทศศาสตร์ตระหนักดีว่ามิอาจวิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินของศาลอันจะเป็นการล่วงละเมิดอำนาจศาลได้ กระนั้นในฐานะสถาบันการศึกษาด้านนิเทศศาสตร์ก็มิอาจนิ่งเฉยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ด้วยประเทศไทยผ่านการต่อสู้ ขับเคลื่อน เรื่องการปฏิรูปสื่อจากภาควิชาการ วิชาชีพ และประชาชนจำนวนมากมาเป็นเวลายาวนานกว่าที่จะก่อตั้งองค์กรอิสระในการกำกับดูแลสื่อ อย่างคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการคมนาคมแห่งชาติ หรือกสทช. ให้เกิดขึ้นได้ องค์กรนี้จึงเป็นองค์กรที่สังคมคาดหวังให้มีความเป็นอิสระทั้งจากอำนาจรัฐและอำนาจทุน เพื่อทำหน้าที่ในการกำกับดูแลสื่อให้เป็นไปตามหลักจริยธรรม วิชาชีพ มีความรับผิดชอบต่อสังคม และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนผู้บริโภคสื่อ มิให้ถูกเอาเปรียบจากผู้ประกอบกิจการตามความในมาตรา 27 ของพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553
ปัจจุบันนี้ สภาพการณ์ภูมิทัศน์สื่อเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนกฎหมายและระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ที่มีอยู่ ไม่สามารถรองรับการกำกับดูแลสื่อในสภาพการณ์จริงได้ทัน จนเกิดปัญหาอย่างยิ่งต่อระบบอุตสาหกรรมสื่อและสิทธิเสรีภาพด้านการสื่อสารของสังคมไทย ผู้ประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมที่ได้รับใบอนุญาตถูกกำกับดูแลให้ต้องดำเนินการภายใต้กฎหมาย ในขณะที่มีผู้ประกอบธุรกิจสื่อจำนวนมาก ที่อาจกระทำการเสี่ยงต่อละเมิดสิทธิผู้บริโภคสื่อโดยอาศัยความได้เปรียบที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลนี้ ปรากฎการณ์ดังกล่าวเป็นความท้าทายยิ่งขององค์กรกำกับดูแลสื่ออย่าง กสทช. ที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่โดยยึดหลักการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อและประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ ดังนั้นหากมีกรณีที่ผู้บริโภคสื่อร้องเรียนขึ้นมาว่าถูกละเมิดสิทธิในฐานะผู้บริโภคสื่อ กสทช. มีหน้าที่ต้องดำเนินการตามบทบาทในฐานะองค์กรกำกับการดูแลสื่อ
ผลของคดีความทางกฎหมายที่เกิดขึ้น อาจทำให้สังคมเกิดคำถามต่อความเป็นอิสระในการทำงานของ กสทช. และกระทบต่อความเชื่อมั่นที่ผู้ประกอบกิจการสื่อ นักวิชาชีพสื่อ และผู้บริโภคสื่อ มีต่อการทำงานของ กสทช. ในอนาคต อีกทั้งการฟ้องร้องดำเนินคดีในลักษณะนี้ ยังกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรอิสระในฐานะที่พึ่งของประชาชนในการพิทักษ์สิทธิที่ประชาชนพึงมีเป็นอุปสรรคสำคัญต่อเสรีภาพในการแสดงออก ขัดขวางการวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นสังคม โดยพยายามทำให้เกิดความกดดันและความกลัว
คณะนิเทศศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงขอแสดงจุดยืนของคณะ สนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของศาสตราจารย์กิตติคุณดร.พิรงรอง รามสูต ในฐานะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต ยึดมั่นในหลักการ และปกป้องผลประโยชน์สูงสุดของสาธารณะต่อไป
สะท้อนมุมมองเกี่ยวกับด้านกฎหมายหรือผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นจากกรณีนี้
วิดีโอสัมภาษณ์ (พิเศษ) ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ ได้ให้ความเห็นว่า “เข้าใจว่าเวลานี้ กำลังเป็นที่จับจ้องมองดูด้วยความสนใจของสังคมไทย สำหรับคดีเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นข่าวครึกโครมอยู่ในวันสองวันที่ผ่านมา เพื่อความชัดเจนท่านทั้งหลายท่านคงสามารถหาข่าวสารอ่านได้แล้ว ขออนุญาตให้ความเห็นไว้เล็ก ๆ น้อย ๆ หากพูดถึงเรื่องการใช้กฎหมาย ปรัชญาหรือแนวทางสำคัญสำหรับกฎหมายนั้น ขออนุญาตอันเชิญแนวทางพระราชดำริของในหลวงรัชการที่ 9 ที่พระราชทานให้นักกฎหมายหลายวาระว่า นักกฎหมายทั้งหลายอย่าเผลอนึกว่าตัวกฎหมายเป็นตัวความยุติธรรมที่แท้ กฎหมายนั้นเป็นเพียงแค่เครื่องมือในการแสวงหาความยุติธรรมเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราไม่ใช่แค่คนที่ต้องเดินทางไต่ตัวบท แต่ต้องดูเจตนารมย์ ดูบริบท ดูผลกระทบ ดูความข้างเคียง ที่จะเกิดขึ้นจากการใช้กฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เป็นการตัดสินคดีพิพาทนั้น ต้องดูทั้งข้อเท็จจริง ดูกฎหมาย ดูเรื่องราวที่มีบริบทแวดล้อมด้วยให้ครบถ้วน สำคัญ ขีดเส้นใต้ เราต้องนึกว่ากฎหมายนั้นเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความยุติธรรม ต้องมีสติ มีความรอบคอบมากพอที่จะไม่ตกหล่นไปเป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์ที่เป็นประโยชน์ข้างเคียงของการฟ้องคดี อย่าให้ตัวเราเป็นเครื่องมือในการใช้กฎหมายเพื่อเดินออกไปนอกทางของความยุติธรรม”
“พิรงรอง Effect” กับทิศทางกำกับดูแลและคุ้มครองผู้บริโภคสื่อต่อจากนี้
แรงกระเพื่อมที่เกิดขึ้น สุภิญญา กลางณรงค์ อดีตกรรมการ กสทช. และผู้ร่วมก่อตั้ง Co-fact Thailand ให้ความเห็นว่า “มุมหนึ่ง ต้องร่วมให้กำลังใจศาสตราจารย์กิตติคุณดร.พิรงรอง เพราะหลายคนคงรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งได้รับผลกระทบแง่ของทั้งสิทธิจิตใจความเป็นส่วนตัว แต่กรณีนี้ได้สร้างความตื่นตัวในสังคมไทยอย่างมาก อย่างไม่น่าเชื่อ”
สังคมได้พูดถึงเรื่องการทำงานและธรรมาภิบาลของ กสทช. ที่เป็นวิกฤตมานาน แต่ที่ผ่านมาสังคมนิ่งเฉย ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์อย่าง ศาสตราจารย์กิตติคุณดร.พิรงรอง นี้ สังคมก็ได้กลับมาจับตาการทำงานของ กสทช. อีกครั้ง จึงมองว่าเป็นเรื่องดีที่องค์กรนี้จะออกมาจากแดนสนธยาก่อนที่จะมืดมนไปมากกว่านี้
อุตสาหกรรมสื่อสารมวลชนและโทรคมนาคมของไทยกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤติ เนื่องจากกิจการโทรคมนาคมถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของสังคมดิจิทัล แต่ขณะนี้กลับเผชิญทางตัน หากไม่มีการเข้ามาแก้ไขปัญหาหรือร่วมกันผลักดันการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง อาจนำไปสู่ภาวะที่ยากจะแก้ไขในอนาคต ในขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมโทรทัศน์ก็กำลังเผชิญความท้าทายอย่างหนักจากการแข่งขันที่รุนแรงในโลกดิจิทัล โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม OTT (Over-The-Top) ซึ่งให้บริการเนื้อหาผ่านอินเทอร์เน็ตแบบเปิด หากไม่มีแนวทางกำกับดูแลที่ชัดเจน อาจนำไปสู่ปัญหาการเลือกปฏิบัติและการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ประกอบการสื่อดั้งเดิมและผู้บริโภคที่อาจไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างเหมาะสม
ข้อพิพาท กสทช. กับ เอกชน ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่กระบวนการออกจากปัญหาให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์อย่างเป็นธรรม ยังมีทางเลือกอื่น ๆ ที่ควรจะเป็นมากกว่ากรณีที่เกิดขึ้นกับศาสตราจารย์กิตติคุณดร.พิรงรอง
นับต่อจากนี้สิ่งที่ต้องเร่งด่วน คือต้องผลักดันกำกับ OTT เพื่อกำกับดูแลและคุ้มครองผู้บริโภคสื่อต่อจากนี้
เรื่องไหนเสี่ยงอย่าทำ!… ความรู้สึกของเจ้าหน้าที่รัฐเปลี่ยนไป
รองศาสตราจารย์ดร.ณรงค์เดช สรุโฆษิต อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ให้ความเห็นว่า “กฎหมายต่างมีช่องทางการโต้แย้ง คัดค้านการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐได้หลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ หากคิดว่าการใช้อำนาจออกคำสั่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ชอบ อาจจะมีการอุทธรณ์ภายฝ่ายปกครอง และฟ้องศาลตามวัตถุประสงค์ ยกตัวอย่างเช่น เพิกถอนคำสั่งหรือกฎเกณฑ์ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาอาจจะฟ้องศาลปกครองได้ หากกฎหรือคำสั่งนั้นก่อให้เกิดความเสียหาย สุดท้ายภาคเอกชน หรือประชาชนทั่วไป หากเห็นว่าการกระทำเจ้าหน้าที่รัฐรุนแรงมาก ถึงขั้นมีความไม่พอใจจึงสามารถฟ้องอาญาซึ่งวัตถุประสงค์เพื่อทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐติดคุกติดตาราง โทษอาญา สิ่งที่เล่ามากฎหมายสามารถเป็นไปได้หลายช่องทาง”
เรื่องไหนเสี่ยง อย่าทำ คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับความรู้สึกของเจ้าหน้าที่รัฐต่อจากนี้ เพราะนี่คือตัวอย่าง ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่คุ้มครองประโยชน์สาธารณะ
กสทช. มีหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค ไม่ใช่ผู้ประกอบการเอาเปรียบเราจนเกินไป แน่นอนว่ากรณีศาสตราจารย์กิตติคุณดร.พิรงรอง จะเพิ่มคำขู่ “นั่นไงเห็นไหมพิรงรอง กสทช. ยังโดน” ความกล้าหาญของเจ้าหน้าที่รัฐจะขาดหายไป ส่งผลให้ทุกคนต่างคิดว่า “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี อย่างแกว่งเท้าหาเสี้ยน”
ประเด็นสำคัญต่อจากนี้ต้องปรับปรุงกระบวนการทำงานภายในอย่างเร่งด่วน ทั้งในด้านการปกป้องข้อมูลความลัพธ์ในที่ประชุม การจดบันทึกข้อมูลเท็จต้องควรระวัง
กฎหมายกสทช. ล้าหลัง ถามจะเริ่มกำกับ OTT กี่โมง
ระวี ตะวันธรงค์ ที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตออนไลน์ ชี้ความต่าง OTT (Over The Top) กับ IPTV (Internet Protocol Television) โดย OTT เป็นบริการสื่อหรือเนื้อหาผ่านอินเทอร์เน็ต ที่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีกฎหมายใดเข้าไปควบคุม สิ่งเหล่านี้เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ข้ามชาติที่มาหาผลประโยชน์จากโฆษณาในไทย เช่น YouTube, Netflix, LINE TV และ Prime Video ต่างกับ ระบบ ไอพีทีวี (Internet Protocol Television) เป็นบริการโทรทัศน์ผ่านอินเตอร์เน็ต แบบควบคุมเครือข่ายส่วนใหญ่บริการโดยผู้ให้บริการโทรคมนาคมหรือบริษัทที่ได้รับอนุญาต
เมื่อย้อนกลับไป 4 ปีที่ผ่านมา กสทช. เคยมีแผนแม่บทเป็นแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ ฉบับที่ 2 ฉบับปรับปรุงและมีการตั้งคณะทำงานศึกษาเกี่ยวกับการกำกับดูแล OTT แล้ว แต่ร่างฉบับนี้ไม่ได้ถูกเสนอเข้าที่ประชุมบอร์ดของ กสทช. ขณะที่ OTT ยังดำเนินธุรกิจต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน ซึ่งสิ่งนี้เองจึงเป็นช่องว่างที่กฎหมายไม่มีข้อกำกับ ทำให้ กสทช. ไม่สามารถกำกับในสิ่งที่จดทะเบียนไว้ได้
OTT ไม่ใช่เรื่องการส่งสัญญาณ แพร่ภาพ และการโฆษณา แต่รวมไปถึงเนื้อหาที่ลูกหลาน หรือพ่อแม่เราต้องเสพสื่ออย่างไร้การกำกับดูแล ดังนั้น เมื่อเราไม่มีสิ่งนี้ คำถามคือ กสทช. จะเริ่มกำกับดูแล OTT กี่โมง หากไม่สามารถกำหนดได้สิ่งที่จะตามมาในอนาคตคือ จะทำลายธุรกิจทีวีดิจิตอลที่กำลังจะต้องรอต่อสัญญาอีก 4 ปี ซึ่งอนาคตการประมูลดิจิทัลปี 2572 ที่หมดสัญญาจะมีการพูดคุยวางแผนในปี 2570 ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าจะมีกี่ประมูลต่อหรือไม่ ส่งผลให้ OTT แซงหน้า ดังนั้นจะมีการย้ายเม็ดเงินของการลงโฆษณาทีวี ไปอยู่บนพื้นที่ OTT มากขึ้นอย่างแน่นอน ผลต่อมาทีวีจะไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนพนักงาน คนจะเริ่มลด ตัดคนออกเรื่อย ๆ การแข่งขันบนออนไลน์จะเพิ่มมากขึ้น ควรเร่งผลักดันกำกับ OTT เพื่อกำกับดูแลและคุ้มครองผู้บริโภคสื่อต่อจากนี้
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันผู้ประกอบธุรกิจที่เลือกไปเข้าประกอบธุรกิจประเภท OTT จะมีอิสระในการทำคอนเทนต์ต่าง ๆ โดยยังไม่มีกฎหมายบังคับใช้ ดังนั้นทำอะไรก็ไม่ผิด จึงกลายเป็นประเด็นสำคัญมากในส่วนนี้
ตัวอย่างของศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต ส่งผลให้เกิดคำถามถึงความเป็นอิสระของกสทช. และบทบาทขององค์กรกำกับดูแลสื่อในอนาคต นอกจากประเด็นเรื่องอำนาจและการแทรกแซงแล้ว สิ่งที่น่ากังวลคือ กฎหมายปัจจุบันยังไม่สามารถควบคุมเนื้อหาที่เผยแพร่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ (OTT) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้บริโภค โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ต้องเสพสื่อที่ไม่มีมาตรฐานหรือการคัดกรองที่เหมาะสม ซึ่งอาจส่งผลต่อพฤติกรรม ค่านิยม ปกป้องผู้บริโภคจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม หากไม่มีแนวทางกำกับดูแลที่เหมาะสม อุตสาหกรรมสื่อดั้งเดิมอาจล่มสลาย ขณะที่ผู้บริโภคยังคงเสี่ยงต่อเนื้อหาที่ไร้มาตรฐาน