ความพยายามผลักดันให้ประเทศไทยมีบ่อนกาสิโนภายใต้โครงการ “เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” (Entertainment Complex) หรือ “สถานบันเทิงครบวงจร” โดยรัฐบาลเศรษฐา มีโอกาสเป็นจริงขึ้นมาแล้ว และน่าจะเป็นไปได้มากทีเดียว
ที่ผ่านมารัฐบาลก่อน ๆ มีความพยายามผลักดัน แต่ก็ถูกคัดค้านจากหลาย ๆ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย แต่เที่ยวนี้เสียงค้านค่อนข้างแผ่วเบา อาจจะเป็นเพราะหลังจากเศรษฐกิจไทยโดนพิษ Covid-19 โถมเข้าใส่เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวอย่างช้า ๆ
รัฐบาลจึงฉวยจังหวะนี้ ปั้นเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ขึ้นมานำเสนอในเวลาพอเหมาะพอดี อีกทั้งการใช้คำว่า เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์เป็นการซ่อนรูปอำพรางว่าไม่ใช่มีแค่บ่อนการพนัน แต่ยังมีเรื่องของการบันเทิงต่าง ๆ มากมาย จึงทำให้ดูเบาลง ทั้งที่ รูปแบบดังกล่าวคือ ”บ่อนกาสิโน” ที่อยู่ในคราบเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์นั่นเอง ซึ่งคาดว่า จะประเดิมที่แรกในโซนภาคตะวันออก บริเวณพื้นที่ของ EEC อาจจะต้องใช้ที่ดินขนาดใหญ่ประมาณ 3,000 ไร่ ภายเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ประกอบด้วย ศูนย์การจัดแสดงโชว์ ร้านอาหาร ร่วมกับกาสิโน สถานบันเทิงครบวงจร
รัฐบาลพยายามอ้างเหตุผลว่า การเปิดเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์เพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายและเพื่อประโยชน์ด้าน กระตุ้นเศรษฐกิจและ เก็บภาษีจ้างงาน จะทำให้แรงงานท้องถิ่นเข้ามาอยู่ในระบบ
รายงานของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โดยอ้างอิง กรณีการเปิดกาสิโนในสิงคโปร์ ระบุว่า ก่อนเปิดกาสิโนถูกกฎหมาย จากการคำนวณเบื้องต้นพบว่าก่อนปี 2009 นักท่องเที่ยวต่างชาติมีการใช้จ่ายในการเยี่ยมชมสถานที่และความบันเทิงต่อคนประมาณ 51 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 1,340 บาท)
แต่เมื่อมีการเปิดกาสิโนถูกกฎหมาย นักท่องเที่ยวมีการใช้จ่ายในหมวดนี้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3 ปีแรก 841 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 22,300บาท) หรืออาจอนุมานได้จากนักท่องเที่ยวมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 22,300 บาทต่อคน
ในรายงานดังกล่าวยังระบุอีกว่า เมื่อนำมาประยุกต์กับกรณีประเทศไทย ค่าใช้จ่ายปกติ และการเข้าเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ เมื่อคำนวณรวมกับค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวปี 2566 อยู่ที่ 42,750บาท/คน/ทริป ทำให้คาดว่านักท่องเที่ยวที่เข้ามาจะมีการใช้จ่ายประมาณ 65,050 บาท/คน/ทริป
นอกจากนี้ ยังมีรายงานบางชิ้น ที่อ้างอิงเศรษฐกิจต่อประเทศสิงคโปร์ได้อย่างมีนัยยะสำคัญว่า จะสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติได้กว่า 3 แสนล้านบาท ขยายรายได้ภาคการท่องเที่ยวมากกว่า 47% เทียบกับก่อนการสร้างสถานบันเทิงครบวงจร สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจสิงคโปร์ได้ 4% ของ GDP ในปี พ.ศ. 2565 สร้างการจ้างงานที่มีรายได้สูงกว่า 20,000 ตำแหน่ง มูลค่าการจัดเก็บภาษีอยู่ที่ 12,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
อีกทั้ง รัฐบาลสิงคโปร์สามารถจัดเก็บภาษี และนำเงินเข้ากองทุนเพื่อบำบัด เยียวยาผู้ที่ติดการพนัน และปราบปรามการพนันที่ผิดกฎหมาย หลังจากการเปิดเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย อัตราผู้ติดการพนันและการพนันผิดกฎหมายลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 2.1% ในปี พ.ศ.2548 เป็น 0.2% ในปี พ.ศ.2563
นี่คือ โมเดลสิงคโปร์ที่ไทยอาจจะนำมาเป็นแนวทางในการผุดเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ครบวงจร
นอกจากนี้ ยังมีผลการศึกษาจาก AGA หรือ American Gaming Association ของสหรัฐอเมริกา ระบุว่าอุตสาหกรรมกาสิโนสร้างรายได้แก่เศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 3.29 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างรายได้ให้แรงงาน 1.04 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 3.78 ล้านล้านบาท สร้างงานให้แก่ผู้ใช้แรงงานสหรัฐเกือบ 2 ล้านรายทั่วประเทศจากธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน รัฐบาลกลางสหรัฐฯ และรัฐบาลท้องถิ่นสามารถเก็บภาษีจากการพนันได้กว่า 5.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าปัจจัยของไทยมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่แตกต่างจากสิงคโปร์ และสหรัฐ โดยเฉพาะสิงคโปร์ที่มีความพร้อมมากกว่าไทยหลาย ๆ ด้าน ที่เป็นทั้งศูนย์การเงินและศูนย์โทรคมนาคมของภูมิภาค อีกอย่างสิงคโปร์ตั้งมานานจนเป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยม แต่ไทยตั้งทีหลังการจะไปแข่งหรือแย่งลูกค้าจากสิงคโปร์คงไม่ใช่เรื่องง่าย
ขนาดมาเก๊า ตอนนี้ยังต้องปรับตัวลดการพึ่งพารายได้จากการพนัน ไม่ได้อู้ฟู่เหมือนเมื่อก่อน อีกทั้งรอบ ๆ บ้านเราประเทศเพื่อนบ้านผุดกาสิโนขนาดใหญ่ราว 22 แห่ง การไปแย่งชิงนักพนันจากเพื่อนบ้านจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เช่นกัน
ศ.วิลเลียม อาร์ เอ็ดดิงตัน ผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมพนันกล่าวไว้ว่า “บรรดาผู้ที่ต้องการจะตั้ง กาสิโนในทั่วโลกต่างต้องการความสำเร็จแบบลาสเวกัส แต่ในความเป็นจริงไม่มีที่ไหนประสบความสำเร็จได้เหมือนบาสเวกัส”
หากรัฐบาลจะผลักดันเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์จำเป็นต้องมีมาตรการรองรับและต้องเข้มข้น การปฏิบัติต้องจริงจัง เช่น การฟอกเงิน การป้องกันสแกมเมอร์ แก๊งคอลล์เซ็นเตอร์ การป้องกันการค้ามนุษย์ เราจะมีมาตรการอย่างไร
รัฐบาลจะทำอย่างไรกับบ่อนการพนันที่ผิดกฏหมายที่ยังมีอยู่ในปัจจุบัน ทั้ง ปัญหาองค์กรอาชญากรรรมข้ามชาติที่จะใช้เป็นแหล่งฟอกเงิน การฟอกเงินของผู้ค้ายาเสพติดและการค้ามนุษย์ การคอรัปชั่นของนักการเมืองและข้าราชการที่เกี่ยวข้อง
ที่สำคัญหาก “กาสิโน” แห่งแรก ผุดขึ้นได้สำเร็จ จะเป็นตัวชี้วัดได้อย่างชัดเจนว่า จะมีการทยอยเปิดแห่งที่ 2 แห่งที่ 3 ตามมา เพราะตามแผน ได้ตั้งเป้าจะเปิดให้ครบทั่วทุกภาคของประเทศ ประมาณ 5-8 แห่ง
สิ่งที่น่ากังวล หากรัฐบาลคิดว่า กาสิโนเป็นเครื่องปั๊มเศรษฐกิจหรือเครื่องยนต์ตัวใหม่ เป็นการมองมิติเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ในมุมกลับกาสิโนจะสร้างปัญหาตามมามากมาย
คำถามคือ กาสิโนเป็นสูตรสำเร็จแก้วิกฤติเศรษฐกิจจริงหรือ
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
โครงการแลนด์บริดจ์ ฝันได้ … ไปไม่ถึง
เศรษฐา-เศรษฐพุฒิ ห่างไม่ได้ ใกล้ไม่ดี