ในยุคสมัยที่ทุกบทสนทนาดูเหมือนจะวนเวียนอยู่กับปัญญาประดิษฐ์ (AI) และความสามารถอันน่าทึ่งของมัน คุณธนา เธียรอัจฉริยะ นักคิดและนักการตลาดชั้นนำของเมืองไทย ได้ขึ้นเวที Creative Talk Conference 2025 (CTC 2025) เพื่อนำเสนอแนวคิดที่ “แทงสวน” กระแสหลักอย่างสิ้นเชิง เขาท้าทายให้เรามองข้ามความสามารถของเครื่องจักร และหันกลับมาสำรวจหนึ่งในทักษะที่ลึกซึ้งและเป็นมนุษย์ที่สุด ซึ่ง AI ไม่มีวันเลียนแบบได้ นั่นคือ “Likability” หรือเสน่ห์ของความน่ารักน่าเอ็นดู
คุณธนาต่อยอดจากหัวข้อ “โชค” ที่เคยพูดไว้เมื่อปีก่อน สู่สมการที่จับต้องได้มากขึ้น: โชค = โอกาส x การเตรียมพร้อม โดยชี้ว่าท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลง เราต้องนิยามสองคำนี้ใหม่ทั้งหมด
นิยาม “การเตรียมพร้อม” ใหม่ในยุค AI
ก่อนจะไปถึงเรื่องของโอกาส การ “เตรียมพร้อม” ด้านทักษะคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ คุณธนาได้ฉายภาพวิวัฒนาการของทักษะที่จำเป็น จากอดีตถึงปัจจุบัน
จากยุค “ตัว I” (I-Shaped) ที่เน้นความเชี่ยวชาญลึกซึ้งเพียงศาสตร์เดียว ซึ่งปัจจุบันทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ยาก (เช่น นักกฎหมายที่ปฏิเสธทุกไอเดีย) สู่ยุค “ตัว T” (T-Shaped) ที่รู้ลึกและรู้กว้าง แต่สิ่งที่ทรงพลังที่สุดในวันนี้คือ “ตัว Y” (Y-Shaped) หรือการมี ความรู้ลึกซึ้งใน 2 ศาสตร์ที่แตกต่าง แล้วนำมาผสมผสานกัน เช่น การนำความรู้ที่ “เป๊ะ ๆ” อย่างการเงิน มารวมกับศาสตร์ที่ “กะ ๆ” อย่างศิลปะและความงาม “ไอน์สไตน์คือนักไวโอลินที่รู้วิทยาศาสตร์นิดหน่อย” คุณธนากล่าว เพื่อย้ำว่าความคิดสร้างสรรค์มักเกิดจากจุดตัดของสหวิทยาการ
แต่ทักษะไม่ใช่ทั้งหมด เขายังแนะนำให้รู้จักกับ “ตัว X” (X-Factor) ผ่านเรื่องเล่าของ “พี่ปี้ ช่างเถอะ” ที่อยากให้ลูกชายอัจฉริยะด้านฟิสิกส์มีเสน่ห์ที่ทำให้ “ผู้ใหญ่เอ็นดู” ด้วย นี่คือทักษะการดึงดูดใจคน ซึ่งเป็นสะพานเชื่อมไปสู่แก่นของเรื่องราวในวันนี้
ถอดรหัส “Likability” ในโลกแห่งความจริง
“Likability” คือตัวคูณสำคัญที่จะเปลี่ยนการเตรียมพร้อมให้กลายเป็นโอกาสที่จับต้องได้ และไม่มีใครแสดงพลังของสิ่งนี้ได้ชัดเจนเท่า โชเฮย์ โอทานิ (Shohei Ohtani) ซูเปอร์สตาร์เบสบอลชาวญี่ปุ่นของทีม Los Angeles Dodgers ผู้เล่นที่ได้รับการยอมรับว่าเก่งที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน ในแผนพัฒนาตัวเองของเขา ข้อสุดท้ายที่เขาให้ความสำคัญคือ “โชค” ซึ่งนิยามของมันคือการสร้าง Likability ผ่านการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ในทุกวัน เช่น การทักทาย การเก็บขยะ และการเป็นคนที่คนอื่นอยากเอาใจช่วย โอทานิรู้ดีว่าพรสวรรค์เพียงอย่างเดียวไม่สามารถพาเขาไปสู่จุดสูงสุดได้หากขาดการสนับสนุนจากผู้คนรอบข้าง
Likability in Action: กรณีศึกษาจากชีวิตการทำงานจริง
คุณธนาได้แบ่งปันเรื่องราวและกรณีศึกษามากมายที่ทำให้เห็นภาพว่า Likability ไม่ใช่เรื่องนามธรรม แต่คือการกระทำที่สร้างผลลัพธ์ได้อย่างมหาศาล
ในสายตาของ “หัวหน้า” Likability คือการทำงานให้ “สำเร็จ” ไม่ใช่แค่ “เสร็จ” คุณธนาเปรียบเทียบเลขาฯ สองคน คนหนึ่งต้องให้คอยตามงานถึง 8 ครั้งกว่าจะได้นัดหมายเดียว ขณะที่อีกคนคิดล่วงหน้า จัดการทุกอย่างครบจบในคำสั่งเดียว เพราะเข้าใจเป้าหมายที่แท้จริงของหัวหน้า สอดคล้องกับคำแนะนำของ Cathie Wood ที่ว่า “Make your boss brilliant” หรือคำสารภาพของ เหว่ยเจี๋ย อดีตมือหนึ่ง Alibaba ที่บอกว่าเขาโดดเด่นกว่าคนอื่นเพราะ “ทำให้หัวหน้าดูดี”
ในบทบาทของ “ผู้นำ” ผู้นำที่น่ารักน่าเอ็นดูคือผู้นำที่ใช้หลัก “Tight-Loose-Tight”—ชัดเจนเรื่องเป้าหมาย (Tight) ให้อิสระในวิธีการ (Loose) และวัดผลอย่างตรงไปตรงมา (Tight) ดังเช่นเคสการจัดงานทอดกฐินที่มอบเป้าหมายให้เด็กรุ่นใหม่แล้วปล่อยให้พวกเขาจัดการเองจนสำเร็จลุล่วง นอกจากนี้ ผู้นำที่น่าประทับใจมักแสดงออกผ่านท่าทีเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แสดงถึงความถ่อมตนและให้เกียรติ เช่น การรินน้ำให้ผู้อื่นก่อน หรือการเดินมาส่งแขกที่ลิฟต์ด้วยตัวเอง
ใน “ภาวะวิกฤติ” นี่คือโอกาสทอง เรื่องเล่าที่ทรงพลังที่สุดคือวิกฤติไวรัลการแสดงที่ไม่เหมาะสมในธนาคารที่คุณธนาเคยทำงานอยู่ แทนที่จะหาคนผิดมาลงโทษตามแรงกดดัน เขาเลือกที่จะปกป้องทีมและเสนอตัวรับผิดชอบด้วยการถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยและตัดเงินเดือนเสียเอง “คนโดนแม่งต้องเป็นผมว่ะ” เขากล่าว การตัดสินใจครั้งนั้นไม่เพียงแต่จบวิกฤติ แต่ยังซื้อใจทีมงานและเพื่อนร่วมงานทั้งองค์กร ทำให้ทุกคนเห็นว่าเขาคือผู้นำที่ไม่ปัดความรับผิดชอบและพร้อมปกป้องคนของตัวเอง
ใน “ความสัมพันธ์และชีวิตประจำวัน” Likability คือ “ศิลปะแห่งการเสียเปรียบ” ดังเรื่องของ “พี่ตุ้ม หนุ่มเมืองจันทร์” ที่ยอมให้ก่อนในการเจรจา สร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความร่วมมือ และคือ Empathy หรือการเข้าอกเข้าใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง คุณธนายังจำชื่อรุ่นพี่สองท่านที่มาชวนเขาไปทานข้าวในวันแรกที่เข้าทำงานได้อย่างแม่นยำ เพราะการกระทำเล็กๆ ที่ “เกินความคาดหวัง” นั้นสร้างความประทับใจที่ไม่มีวันลืม
ทำไม Likability คือซูเปอร์พาวเวอร์ของมนุษย์
คุณธนาทิ้งท้ายว่า ท่ามกลางโลกดิจิทัลที่เราใช้เวลาอยู่กับหน้าจอมากขึ้น เราต้องไม่ลืมพลังของการปฏิสัมพันธ์แบบมนุษย์ จงใช้โซเชียลมีเดียเพื่อชื่นชมผู้อื่นอย่างจริงใจ, จงจำทุกครั้งที่ใครช่วยเหลือเรา แต่จงลืมทุกครั้งที่เราได้ช่วยเหลือใคร และจง “ปลูกต้นไม้” แห่งความสัมพันธ์ไปเรื่อยๆ
ท้ายที่สุดแล้ว ทักษะความรู้คือสิ่งจำเป็น แต่ Likability คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์ยังคงเป็นมนุษย์ มันคือตัวคูณโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นซูเปอร์พาวเวอร์ที่ AI ไม่อาจครอบครอง และบทพิสูจน์ที่ดีที่สุดของพลังแห่ง Likability ก็คืองาน CTC 2025 นั่นเอง ที่สามารถรวมพลังผู้คนมากมายให้มาอยู่ร่วมกันได้ ไม่ใช่แค่ด้วยทักษะหรือเงินทุน แต่ด้วยหัวใจและความสัมพันธ์อันดีที่ผู้จัดได้สร้างสมไว้