Share on
×

Share

วิธีคิดแบบ Flash Express: สร้างธุรกิจโตเร็วด้วย ‘จังหวะ’ และ ‘เทคโนโลยี’

การได้รับสถานะ “ยูนิคอร์น” อาจเป็นภาพฝันของผู้ประกอบการสตาร์ตอัพทั่วโลก แต่สำหรับ Flash Express ยูนิคอร์นตัวแรกของประเทศไทย มันเป็นเพียงหมุดหมายหนึ่งบนการเดินทางที่ยังอีกยาวไกล ในบทสนทนาที่เปิดเผยและลึกซึ้ง คมสันต์ ลี Co-founder and CEO และ เหว่ยเจี๋ย Co-founder and COO สองแม่ทัพใหญ่แห่ง Flash Group ร่วมกันเผยเบื้องหลังความสำเร็จ ที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ พร้อมแบ่งปันวิสัยทัศน์สำหรับอนาคต

“ยูนิคอร์น” ไม่ใช่เส้นชัยแต่คือความเป็นจริงที่ต้องเผชิญ

จุดเริ่มต้นที่น่าสนใจที่สุด คือมุมมองของคมสันต์ ที่ทลายภาพฝันของคำว่ายูนิคอร์น เขาย้ำอย่างหนักแน่นว่า “คำว่ายูนิคอร์นกับความสำเร็จ จริง ๆ แล้วไม่เท่ากัน” ในมุมมองของเขา สถานะยูนิคอร์นเป็นเพียงภาพลักษณ์ภายนอก ที่ทำให้คนทั่วไปรู้สึกว่าบริษัทประสบความสำเร็จแล้ว แต่ในความเป็นจริง แก่นแท้ของการทำงานไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย พวกเขายังคงเป็นองค์กรที่ต้องเผชิญกับความท้าทายและบทเรียนจากความล้มเหลวอยู่ทุกวัน ไม่ต่างจากบริษัทอื่น ๆ ที่แม้จะก้าวสู่การเป็นยูนิคอร์นแล้วก็ยังต้องต่อสู้กับปัญหาเล็กใหญ่อยู่เสมอ

“คมเขี้ยว Startup” เรื่องราวชีวิตและการบริหารงานของ “คมสันต์ ลี” จากศูนย์สู่ยูนิคอร์น

“ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังเป็นยูนิคอร์น เราคิดทุกวันว่าจะผ่านวันพรุ่งนี้ไปได้อย่างไร จะทำวันนี้ให้ดีที่สุดได้อย่างไร” คมสันต์ กล่าว

นี่คือหัวใจสำคัญที่สะท้อนว่าเป้าหมายที่แท้จริงของ Flash คือการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนผ่านการลงมือทำในปัจจุบัน การดูแลตลาดและให้บริการลูกค้าอย่างดีที่สุด คือภารกิจที่สำคัญกว่าการยึดติดกับมูลค่าทางตัวเลขหรือสถานะที่ได้รับมา

กุญแจการเติบโตแบบก้าวกระโดด: เมื่อโชคมาพบกับเทคโนโลยี

เมื่อถูกถามว่า อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ Flash พุ่งทะยานสู่การเป็นยูนิคอร์นในเวลาเพียง 4 ปี? คมสันต์ตอบอย่างถ่อมตนว่า “โชค” คือส่วนที่สำคัญที่สุด เขาอธิบายว่ามันคือการมาบรรจบกันของจังหวะเวลาที่สมบูรณ์แบบ ทั้งการได้อยู่ใน “ประเทศที่ใช่ อุตสาหกรรมที่ใช่ ในเวลาที่ใช่ และที่สำคัญที่สุดคือการมีกลุ่มคนที่ใช่” มาร่วมสร้างความสำเร็จไปด้วยกัน เขายังได้กล่าวขอบคุณทีมงานเบื้องหลัง โดยเฉพาะเหว่ยเจี๋ยที่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทมาถึงจุดนี้ได้

แต่โชคเป็นเพียงการเปิดประตูสู่โอกาส สิ่งที่เปลี่ยนโอกาสนั้นให้กลายเป็นความสำเร็จที่จับต้องได้คือ “เทคโนโลยี” เหว่ยเจี๋ย ผู้มีพื้นฐานด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเป็นหัวใจสำคัญด้านเทคโนโลยีของบริษัท เล่าว่า Flash ถูกสร้างขึ้นด้วย DNA ของเทคโนโลยีมาตั้งแต่วันแรก ในธุรกิจที่ต้องพึ่งพาแรงงานมหาศาลกว่า 70,000 คน พวกเขาเลือกที่จะไม่เดินตามเส้นทางเดิมที่ใช้ผู้จัดการจำนวนมากมาบริหารคน แต่เลือก “ใช้ซอฟต์แวร์และอัลกอริทึม” เป็นเครื่องมือหลักในการบริหารจัดการ

จุดเด่นที่สำคัญ คือซอฟต์แวร์ทั้งหมดถูกพัฒนาขึ้นเองโดยทีมของ Flash เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะ เพราะซอฟต์แวร์จากที่อื่นแม้จะดีเพียงใด ก็ไม่สามารถตอบโจทย์ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและการทำงานของภูมิภาคนี้ได้ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ ระบบบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล (HR) ที่เขาเล่าว่า ในอดีตการรับสมัครงานเกิดความโกลาหลจากการที่สาขาและสำนักงานใหญ่ต่างก็หาคนในตำแหน่งเดียวกัน จนเกิดกรณีที่ยื่นข้อเสนอจ้างงาน 3 ฉบับสำหรับตำแหน่งงานว่างเพียงตำแหน่งเดียว นอกจากนี้ยังมีความท้าทายเรื่องการติดตามการเข้างาน หรือการเบิกค่าล่วงเวลาที่ไม่โปร่งใส

Flash แก้ปัญหานี้ด้วยการสร้างระบบ HR และระบบสำนักงานอัตโนมัติ (OA) แบบดิจิทัลครบวงจรขึ้นมาเอง ซึ่งผลลัพธ์คือสามารถลดความสูญเปล่าและต้นทุนในส่วนนี้ไปได้กว่าครึ่งหนึ่ง และผลักดันให้องค์กรทำงานแบบไร้กระดาษได้เกือบ 100% นี่คือบทพิสูจน์ว่าสำหรับ Flash เทคโนโลยีไม่ใช่แค่แผนกหนึ่ง แต่เป็นรากฐานและระบบปฏิบัติการของทั้งองค์กรที่ทำให้สามารถเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

ศิลปะการขยายธุรกิจ: บริหาร ‘จังหวะ’ และ ‘วัฒนธรรม’

เมื่อธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ความท้าทายที่อันตรายที่สุดคือการควบคุม “จังหวะ” (Rhythm) ขององค์กร คุณคมสันต์ชี้ว่านี่คือประสบการณ์ล้ำค่าและเป็นบทเรียนที่สำคัญที่สุด เขานิยาม “จังหวะ” ว่าเป็นสมดุลที่ละเอียดอ่อนระหว่าง 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ความเร็วในการเติบโตของธุรกิจ การมีบุคลากรที่เติบโตทัน และการมีเงินทุนและกระแสเงินสดที่เพียงพอจะสนับสนุนการขยายตัว เขาชี้ว่ามีผู้ประกอบการที่ยอดเยี่ยมจำนวนมากต้องล้มเหลวไม่ใช่เพราะธุรกิจไม่ดี แต่เพราะบริหารจังหวะนี้ผิดพลาด จนทำให้สายป่านขาด พลาดโอกาสสำคัญ หรือตลาดถดถอย การทำสิ่งที่ใช่ ในเวลาที่ใช่ โดยมีคนที่ใช่ทำ จึงเป็นหัวใจของการขยายธุรกิจ

แล้ว Flash รักษาสมดุลที่ซับซ้อนนี้ได้อย่างไร? คำตอบอยู่ที่ “วัฒนธรรม” และ “โครงสร้างองค์กร” ที่ถูกฝังรากลึกมาตั้งแต่วันแรก คุณเหว่ยเจี๋ยอธิบายว่าพวกเขาเกลียด “โรคบริษัทใหญ่” เช่น องค์กรที่อุ้ยอ้าย คนที่ทำงานเช้าชามเย็นชาม หรือคนที่ได้ดีเพราะทำสไลด์สวยแต่ทำงานไม่เป็นจริง

พวกเขาจึงออกแบบโครงสร้างและวัฒนธรรมเพื่อป้องกันปัญหานี้โดยเฉพาะ ประการแรกคือ โครงสร้างองค์กรที่แบนราบ (Flat Organization) เพื่อให้การสื่อสารรวดเร็วและข้อมูลไม่ตกหล่น ประการที่สองซึ่งเป็นหลักการสำคัญคือ ผู้บริหารทุกคนต้องลงมือทำงานจริง (Hands-on) เพื่อให้เข้าใจปัญหาหน้างานอย่างแท้จริง และป้องกันการถูกหลอกโดยลูกน้องที่อาจสร้างภาพ ที่สำคัญที่สุด วัฒนธรรมนี้ทำให้พวกเขารู้ว่าใครคือคนที่ทำงานเก่งจริง ๆ

สิ่งที่น่าทึ่งคือโครงสร้างและวัฒนธรรมนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้บริษัทจะเติบโตจากหลักร้อยสู่พนักงานหลายหมื่นคน สิ่งที่เปลี่ยนไปคือประสิทธิภาพของเทคโนโลยีที่พวกเขาสร้างขึ้น ซึ่งทำให้ผู้จัดการหนึ่งคนสามารถดูแลพนักงานได้มากขึ้น จากเดิม 5 คน อาจเพิ่มเป็น 200 คน โดยที่องค์กรยังคงความคล่องตัวเหมือนสตาร์ทอัพ นี่คือศิลปะในการใช้เทคโนโลยีเพื่อรักษาวัฒนธรรมและบริหารจังหวะการเติบโตไปพร้อมกัน

วิสัยทัศน์แห่งอนาคต: โอกาสในยุค AI

สำหรับทิศทางในอนาคต ทั้งสองผู้ก่อตั้งมองว่า AI คือคลื่นการเปลี่ยนแปลงลูกใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่พวกเขากลับมีมุมมองที่น่าสนใจและแตกต่างกันในการมองหาโอกาส

คมสันต์เริ่มต้นด้วยการให้มุมมองที่กว้างขึ้น เขาเชื่อว่าคำถามที่สำคัญที่สุดในยุคนี้ไม่ใช่ “ใครจะสร้าง AI ที่ดีที่สุด” แต่คือ “เราจะทำอย่างไรให้ธุรกิจ SME จำนวนมหาศาลสามารถเข้าถึงและใช้เครื่องมือ AI ได้”

เปิดมุมมอง “คมสันต์ แซ่ลี” ซีอีโอวัย 29 ปี แห่ง Flash Express

เขามองเห็นภาพอนาคตที่น่ากังวลว่า AI จะยิ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางธุรกิจ คนที่แข็งแกร่งอยู่แล้วจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ส่วนคนที่อ่อนแอก็จะถูกทิ้งห่างออกไป ดังนั้น โอกาสทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่จึงอยู่ที่การสร้างโซลูชันที่ช่วยให้ SME นำ AI ไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของตนเอง

สำหรับประเทศไทย เขามองเห็นศักยภาพที่โดดเด่นใน 2 อุตสาหกรรม คือ ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumption) ซึ่งแบรนด์ท้องถิ่นของไทยมีโอกาสที่จะเติบโตสู่ระดับนานาชาติได้ด้วยพลังของเครื่องมือดิจิทัล และ ธุรกิจชีวการแพทย์ (Biomedical) ซึ่งประเทศไทยมีพื้นฐานด้านบริการและคุณภาพที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว

ในขณะที่เหว่ยเจี๋ย มองเห็นเทรนด์ใหม่ที่เกิดจากพลังของ AI โดยตรง เขาชี้ว่าในอดีต การจะสร้างนวัตกรรมเพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ในชีวิตประจำวัน มีต้นทุนสูงมาก และต้องอาศัยบริษัทขนาดใหญ่ แต่ AI ได้เข้ามาทลายกำแพงความรู้และต้นทุนนั้นลง ทำให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่คือการเติบโตของ “ผู้ประกอบการคนเดียว (Solopreneur) และทีมขนาดเล็ก” คนเหล่านี้สามารถใช้ AI เป็นเครื่องมือในการเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ที่มีความต้องการซ่อนอยู่ และสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ทำให้ชีวิตประจำวันของผู้คนดีขึ้นได้ นี่คือโอกาสในการเกิด “Micro-AI Enterprises” หรือธุรกิจ AI ขนาดเล็กจำนวนมากที่จะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในตลาด

คมสันต์ย้ำว่า “ทุกวันนี้ทีมเล็ก ๆ ก็มีโอกาสสำเร็จได้ ขอแค่ใช้ AI ให้เป็น ทุกธุรกิจต้องเริ่มใช้เครื่องมือ AI เพราะมันให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าอย่างแน่นอน” เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าการนำ AI ไปใช้คือหัวใจ

ส่วนเหว่ยเจี๋ยปิดท้ายด้วยคำแนะนำที่ทรงพลังว่า “จงเป็นมืออาชีพที่สุดในสิ่งที่คุณทำ ไม่ว่าตลาดจะเล็กหรือใหญ่ ถ้าคุณเชี่ยวชาญที่สุด ผู้บริโภคจะเลือกคุณ” ซึ่งชี้ให้เห็นว่าในยุคที่ใครก็สร้างได้ ความเป็นเลิศและความเชี่ยวชาญจริงเท่านั้นที่จะเป็นปัจจัยตัดสินชัยชนะ

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

จาก Generative AI สู่ Agentic AI เมื่อสตาร์ตอัพต้องปรับตัวเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ

‘Energy Symphonics’ กลยุทธ์บ้านปู รับมืออนาคตพลังงานยุค AI

×

Share

ผู้เขียน