Share on
×

Share

บทเรียนจากคนรุ่นใหญ่ถึงคนรุ่นใหม่: วิกฤติ Early Retire 45 ปี

ช่วงเวลานี้ มีข่าวอยู่สองข่าวที่มาไม่พร้อมกัน แต่ดูเหมือนกลายเป็นเรื่องเดียวกันเสียอย่างนั้น

ข่าวแรก คือความเป็นชนชั้นกลางทั้งในแง่ความหมาย ความยากแค้น ความกดดันของชนชั้นกลาง ในเวลาไล่เลี่ยกันก็มีข่าวของแบงก์ขนาดใหญ่ที่ประกาศให้ early retire ได้ตั้งแต่อายุ 45 จากเดิมที่คุ้น ๆ กันว่ามักจะ early retire ช่วงอายุ 50-55 แต่ข่าวนี้ร่นเวลาขึ้นมาเร็วขึ้นไปอีก

เท่านั้นเอง ความอลเวงเกิดขึ้น คนเริ่มคิดกันแล้วว่า จะมองเรื่องอนาคตกันอย่างไร “เราจะอยู่อย่างไร” นักเศรษฐศาสตร์บางคนบอกว่ามาจากสิ่งที่เรียกว่า perfect storm จากสิ่งที่เรียกว่า ประเทศเราขาดจุดขายไปแล้ว (รวมถึงคนด้วย) เราจมปลัก นิ่ง ๆ ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนไป การไม่ขยับหรือเดินช้า เท่ากับโลกนำหน้าเราไปแล้ว ยิ่งบวกกับความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ทำให้การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วขึ้น

การรับรู้ ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพิ่งเริ่มต้น แต่เป็นผลที่มีการส่งสัญญาณมาร่วมสิบ-ยี่สิบปีแล้ว ใครที่พร้อมเตรียมตัวมาก่อน ก็อาจจะรู้สึกรับรู้ผลกระทบนิดหน่อย แต่ใครที่ยังรู้สึกว่าวันเวลาผ่านไปอย่างใจเย็น ๆ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ขอให้นึกถึงทฤษฎีกบต้มที่คุยกันมานับสิบปี ก็จะกระจ่างมากขึ้น “ใครพร้อมกว่า ใครเตรียมการรับมือได้ก่อน คนนั้นรอด!!”

มองมาที่ส่วนบุคคล ใคร…ที่พร้อมรับมือกับด้วยการตระเตรียมไว้ สถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่รุนแรง ไม่ว่าจะเป็น

  • สร้าง Passive Income มาอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มขึ้นตลอดเวลา
  • ไม่สะสมหนี้ รับแรงเสียดทานกับการกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายที่มากกว่ารายได้
  • ใช้ชีวิตตามเกณฑ์ของสุขภาพและวัยอย่างสม่ำเสมอ
  • ไม่หยุดการเรียนรู้ ไม่ว่าในงานหรือในเรื่องส่วนตัว หมั่นทบทวนอยู่เสมอว่า เราเรียนรู้จากหน้าที่การงานที่ทำอยู่ พูดง่าย ๆ คืองานที่ทำเราก้าวหน้าไหม หรือเป็นประเภททำไปวัน ๆ รอหน่วยงานองค์กร เป็นคนชี้วัด หรือเราจะประเมินผลงานตัวเองอย่างต่อเนื่อง มีเป้าหมายของตัวเอง ที่กำหนดด้วยระยะเวลา กับวิธีการ

ซึ่งทั้ง 4 ประการนี้ ดูเหมือนจะสาเหตุจากเรื่องเดียว ที่มองเห็นคือการขาดเป้าหมาย หรืออีกนัยหนึ่งคือมีความไม่แน่นอนในเรื่องเป้าหมาย มีโอกาสได้คุยกับนักวางแผนการเงิน เขาเล่าให้ฟังว่า คนในวัย 45 มีความตื่นตัวในเรื่องการวางแผนการเงินมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะเป็นวัยที่สามารถสร้างรายได้มาก (ในขณะเดียวกันมีพลังบวก พลังเสริมในการมีอาชีพที่สองที่สาม) และเป็นวัยที่มีการใช้จ่ายมากขึ้นด้วย ยกตัวอย่างเช่น

“การเที่ยวต่างประเทศ อย่างน้อยปีละครั้งในยุโรป” เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างเรื่องพูดคุยกัน ยิ่งการลงรูปในสื่อโซเชียลยิ่งทำให้เป็นเรื่องที่ “ต้องการ” มากกว่า “จำเป็น”

ความเร็วของการดำเนินชีวิต ทำให้ใช้เงินมากขึ้น ส่งผลให้พลังในการออมลดลงไปโดยปริยาย ทั้งที่หาเงินได้มากและมีหลายทาง

การขาดเป้าหมายที่จะวางแผนการเงินตั้งแต่วัยเริ่มต้นทำงาน การมาเริ่มต้นคิด เริ่มวางแผนในช่วงเวลานี้ อาจจะต้องใช้พลังมากกว่า โดยเฉพาะนิสัยเคยตัว หรือจะเรียกว่า เคยชินกับสิ่งที่เรียกว่าการใช้ชีวิตสมัยใหม่

เราจึงไม่สามารถรับมือได้เลย

เชื่อสิ!!

ถ้าไม่ได้เริ่มต้น ด้วยการใช้ สมการการออมที่ว่า “เงินออมมาจาก รายได้-เงินออม = ค่าใช้จ่าย” เพื่อสร้างเงินออมให้ สามารถจัดแบ่งเป็นเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน กับเงินลงทุน ตั้งแต่เนิ่น ๆ การมาเริ่มต้นคิดในวัยที่ผ่านการทำงานมาแล้วหลายสิบปี แม้ว่าจะช้า แต่ไม่สายสำหรับการเริ่มต้น แต่ต้องไม่ลืมว่า ในวันนี้เงินออมต้องมีจำนวนมากพอ จึงจะสร้าง Passive Income ได้มากพอ และวันนี้ไปจนถึงวันข้างหน้า ค่าใช้จ่ายเรื่องสุขภาพ ปรับสูงขึ้นเรื่อย ๆ

เวลาที่ผ่านไปจากคนรุ่นใหม่ที่กลายเป็นคนรุ่นใหญ่แล้ว อยากจะบอกคนรุ่นใหม่ว่าให้ดูแลสุขภาพและการเงินตัวเองตั้งแต่ต้น ๆ อย่าปล่อยตัว ไว้ใจตัวเองมากเกินไป คนรุ่นใหม่ หามาง่าย ก็ต้องใช้ให้เป็น

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

‘หาได้เพิ่มเท่าไร ใช้เท่าเดิม’ สูตรลับสู่ความมั่งคั่งที่ยั่งยืนของมนุษย์เงินเดือน

4 กลยุทธ์ แก้ไขต้นตอของการเป็นหนี้

×

Share

ผู้เขียน