Share on
×

Share

“คลัง” รื้อใหญ่ ภาษีเพื่อใคร 

หลังจากโดนกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักกรณีที่ พิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ขายไอเดียปฏิรูปภาษีไม่ทันข้ามสัปดาห์ก็โดนเบรกจนหัวทิ่ม เมื่อนายกฯแพทองธาร โพสต์เฟซ และ X เมื่อวาน ความว่า

  1. ไม่มีการปรับ VAT เป็น 15%  (ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ Value Added Tax )
  2. กระทรวงการคลัง กำลังศึกษาการปรับโครงสร้างภาษี ซึ่งต้องมองทั้งระบบให้ครบทุกมิติและเป็นธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
  3. การปรับโครงสร้างภาษีของประเทศอื่น ๆ ใช้เวลาศึกษาและปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป บางประเทศใช้เวลาปรับเปลี่ยนกว่า 10 ปี
  4. นโยบายหลักของรัฐบาลคือ การลดรายจ่ายของประชาชน ลดรายจ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพของภาครัฐควบคู่ไปกับการหาโอกาสจากการสร้างรายได้ใหม่ให้ประชาชน ทั้งหมดนี้ เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพี่น้องประชาชนคนไทย

นับว่าเป็นการดับกระแสได้ทันท่วงที ก่อนที่จะลุกลามไปไกลมากกว่านี้ เหตุผลที่พิชัยอ้างในการปรับโครงสร้างภาษีเพื่อสนับสนุนเรื่องการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล และปรับให้สอดคล้องกับหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยเก็บอยู่ที่ 7% จากเพดานที่ให้เก็บได้ 10% ซึ่งถือว่าน้อย เมื่อเทียบต่างประเทศทั่วโลกที่มีการเก็บ VAT เฉลี่ยที่ 15-25% 

นอกจาก VAT แล้วพิชัยยังมีแนวคิดลดภาษีนิติบุคคลจาก 20% เหลือ 15% อ้างว่าเพื่อจูงใจนักลงทุนเข้ามาลงทุน ส่วนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็ให้เสียอัตราเดียวถ้วนหน้า15% เท่ากันไม่ว่ารวยหรือจน พร้อมย้ำว่าการปฏิรูปภาษีเที่ยวนี้เป็นการลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวย

ทันทีที่แนวคิดนี้ ออกมาก็โดนกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าอุ้มคนรวยไม่ได้ช่วยคนจน สะท้อนจากภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเดิมคนรวยเสียภาษี 35% แต่นโยบายใหม่ให้เสีย 15%ประหยัดได้ 20% ขณะที่คนชั้นกลาง คนรุ่นใหม่ทำงานออฟฟิศ ที่มีรายได้ตามเกณฑ์กำหนดต้องจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 15% เท่าเดิม 

ตัวอย่างเช่น คนรวยมีรายได้ เดือนละ 1 ล้านบาทเดิมเสียภาษี 35% คิดเป็นเงินที่ 4,200,000 บาทหากจ่ายภาษีแค่ 15% เป็นเงินต้องจ่ายแค่ 1,800,000 บาท ประหยัดเงินได้ถึง 2,400,000 บาท อย่างนี่ไม่เรียกว่าอุ้มคนรวยได้อย่างไร

ส่วนการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือจาก 20% เหลือ 15% ซึ่งเป็นเก็บจากบริษัทที่มีกำไรนั้นก็ถือว่าช่วยคนรวยเช่นกัน ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็มีนโยบายลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้เหลือร้อยละ 23 ในปี 2555 และลดลงร้อยละ 20 ในปี 2556 อ้างว่าสร้างความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชน จูงใจนักลงทุน 

ในห้วง 10 ปีที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่า นักลงทุนลดลงอย่างต่อเนื่อง เป็นการยืนยันว่าการลดภาษีนิติบุคคลไม่ช่วยดึงดูดนักลงทุนตามที่รัฐบาลยิ่งลักษ์อ้าง ภาษีเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น มีปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน เช่น ค่าแรง ค่าไฟ ระบบสาธารณูปโภค แรงงานมีฝีมือ เป็นต้น

ที่สำคัญนักลงทุนส่วนใหญ่ขอรับการส่งเสริมจากบีโอไอ ซึ่งได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีมากกมายอยู่แล้ว แต่บริษัทเอกชนไทยได้กำไร 5% ทันทีโดยไม่ต้องลงทุน 

แต่ที่กลายเป็นดรามาถูกพูดถึงมากที่สุดคือการปรับ VAT จาก 7% เป็น 15% นั่นแปลว่าเป็นการปรับขึ้นกว่า 100% จนทำให้ชาวบ้านต่างกังวลสำหรับรายจ่ายที่จะเพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้ยังเท่าเดิม ต้องเข้าใจว่า VAT คนจนจ่ายแพงกว่าคนรวย เพราะคนจนรายได้น้อยแต่ต้องเสียในอัตรา 7% เท่ากับคนรวยที่มีรายได้มากกว่า 

พันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรา “มาม่า” พูดถึงเรื่องนี้ว่า หากรัฐบาลมีนโยบายปรับโครงสร้างภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 7% เป็น 15% จะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างราคาสินค้าขยับขึ้นอย่างแน่นอน และสุดท้ายภาระตกไปยังผู้บริโภค เนื่องจากการผลิตสินค้าจะมีการคิดต้นทุนรวมภาษีมูลค่าเพิ่มเข้าไปด้วยก่อนกำหนดเป็นราคาติดหน้าซองก่อนวางจำหน่าย ซึ่งรวมถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วย 

ฉะนั้น คำว่าปฏิรูปภาษีลดความเหลื่อมล้ำเป็นแค่ “วาทะกรรม” เท่านั้น แต่ความจริงเป็นแค่การปรับอัตราภาษีเพิ่มกับลดเพื่อเอื้อคนรวยเท่านั้น ยังเป็นโครงสร้างเดิมไม่มีการพูดถึงมาตรการเก็บภาษีคนรวย ภาษีลาภลอย หรือขยายฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กว้างขึ้นจากปัจจุบัน ที่คน 4,000,000 คนต้องจ่ายภาษีดูแลคน 60 ล้านคน

อันที่จริงแนวคิดการปรับเพิ่ม VAT มีมานานหลังจากเริ่มมีการบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2535 ในอัตรา 10% แต่รัฐบาลสมัยก่อนไม่กล้าปรับกลัวจะมีผลกระทบทางการเมืองเสียฐานเสียง โดยอ้างว่าประชาชนไม่พร้อมจึงขอเก็บแค่ 7% ก่อน กระทั่งวิกฤติต้มยำกุ้ง 40 ไทยต้องเข้าโครงการ IMF ปฏิบัติตามเงื่อนไข ให้เก็บ VAT 10% แต่ก็แค่ช่วงสั้น ๆ เท่านั้น

ต่อมาไม่นานก็กลับมาเก็บในอัตรา 7% เหมือนเดิม ครบกำหนดเวลาก็ขอต่ออายุเรื่อยมาทุกปี สมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ก็เคยเกริ่นว่าหากเก็บ VAT เพิ่มขึ้นแค่ 1% จาก 7% เป็น 8% รัฐจะมีรายบได้ 100,000 ล้านบาท แต่โดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจนต้องพับแผน

ตลอด 30 กว่าปีที่ใช้ VAT ไม่มีรัฐบาลไหนไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือรัฐประหารไม่กล้าแตะ VAT แปลกใจมีอะไรทีทำให้ที่รัฐมนตรีคลังคนนี้ช่างกล้าหรือส่งสัญญาณว่ารัฐบาลกำลังถังแตกจริง ๆ 

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

อย่าให้การลงทุนเป็นแค่ ‘ภาพลวงตา’

จุดยืนไทย เมื่อ ‘โดนัล ทรัมป์’ คัมแบ็ค

พลิกตำนานแชร์ลูกโซ่ “มหากาพย์ลวงโลก”

×

Share