นานกว่า 8 ทศวรรษที่ “อิเกีย” ไม่ได้เป็นเพียงชื่อของผู้ค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านยักษ์ใหญ่จากสวีเดน แต่คือสัญลักษณ์ของปรัชญาการใช้ชีวิตที่ลึกซึ้งกว่านั้น ภายใต้วิสัยทัศน์ “A Better Everyday Life For The Many People” หรือการสร้างชีวิตที่ดีขึ้นในทุก ๆ วันให้กับผู้คนมากมาย อิเกียได้ผสานแนวคิดเรื่อง “ความยั่งยืน” เข้าเป็นเนื้อเดียวกับตัวตนของแบรนด์
จากแนวคิดได้ถูกแปรเปลี่ยนเป็นการปฏิบัติจริงในทุกมิติ ตั้งแต่ต้นน้ำของวัตถุดิบ สู่กระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์ การดำเนินงานในสโตร์ จนถึงมือผู้บริโภคและชุมชน และนี่คือเรื่องราวการเดินทางของอิเกียในการสร้างแรงบันดาลใจและขับเคลื่อนสังคมไทยสู่การใช้ชีวิตที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับโลก
เมื่อความยั่งยืนคือหัวใจ
“ความยั่งยืนไม่ใช่แค่สิ่งที่อิเกียทำ แต่คือตัวตนของแบรนด์ คือหัวใจสำคัญของวิสัยทัศน์เราอย่างแท้จริง” คณิศร์ อุนจะนำ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ อิเกีย ประเทศไทย สะท้อนให้เห็นถึงภารกิจในแก่นแท้ของแบรนด์อายุมากกว่า 80 ปี ที่ต้องการสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับโลก ตั้งแต่ชุมชนที่เป็นแหล่งวัตถุดิบ ไปจนถึงทุกครัวเรือนที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของอิเกีย
“อิเกียไม่ได้แค่ขายเฟอร์นิเจอร์ แต่เราต้องการสร้างแรงบันดาลใจและเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตให้ยั่งยืน” คณิศร์ กล่าวย้ำ
อิเกียมองความยั่งยืนผ่านเลนส์ 3 มิติที่ครอบคลุมสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม โดยยึดโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ และมุ่งเผชิญหน้ากับความท้าทายระดับโลก 3 ประการ คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในทุกองคาพยพของธุรกิจ, การใช้ทรัพยากรที่ไม่ยั่งยืน ด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนและการลดของเสีย และความไม่เท่าเทียม โดยมุ่งสร้างความเป็นธรรมตลอดห่วงโซ่อุปทานและในชุมชน
กลยุทธ์ 3 เสาหลัก สู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
กลยุทธ์ความยั่งยืนของอิเกียตั้งอยู่บน 3 เสาหลักที่ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติทั้งในระดับโลกและประเทศไทย คือ
- สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน(Healthy and Sustainable Living) อิเกียต้องการเป็นผู้นำและสื่อกลางในการส่งเสริมวิถีชีวิตที่ยั่งยืน โดยเริ่มจากสิ่งใกล้ตัวในบ้าน ผ่านการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เอื้อให้ผู้คนลดขยะ ประหยัดพลังงานและน้ำ สร้างสุขภาพที่ดี และใช้ชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ง่ายขึ้น
- การหมุนเวียนทรัพยากรและใส่ใจสิ่งแวดล้อม (Climate Nature and Circularity) ทุกขั้นตอนในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ถูกคิดคำนึงอย่างรอบด้าน ตั้งแต่การเลือกใช้วัตถุดิบที่ยั่งยืน การออกแบบการขนส่งบรรจุภัณฑ์ให้แบนราบเพื่อลดพื้นที่ขนส่งและลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ไปจนถึงการมีมุมจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์มือสองสภาพดีในราคาย่อมเยา เพื่อลดปริมาณขยะและส่งเสริมการใช้ซ้ำ โดยไม่มุ่งเน้นผลกำไร
- ความเท่าเทียม (Fair and Caring) อิเกียให้ความสำคัญสูงสุดกับความเท่าเทียมในทุกภาคส่วนของธุรกิจ ตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบเพื่อให้มั่นใจว่ามีความเป็นธรรม ดูแลตั้งแต่ซัพพลายเออร์ เพื่อนร่วมงาน มุ่งสร้างสมดุลทางเพศ และให้คุณค่ากับความสามารถของทุกคนอย่างแท้จริง
ผลิตภัณฑ์เพื่อชีวิตที่ดีและโลกที่ยั่งยืน
หัวใจของการออกแบบผลิตภัณฑ์อิเกียคือหลักการ “Democratic Design” ซึ่งผสาน 5 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ รูปทรงสวยงาม (Form) ฟังก์ชันตอบโจทย์การใช้งานจริง (Function) คุณภาพทนทาน (Quality) ความยั่งยืน (Sustainability) และราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ (Low Price)
สินค้าของอิเกียจึงถูกออกแบบมาใน 5 หมวดหมู่หลักเพื่อส่งเสริมความยั่งยืน คือ ลดขยะ ลดการใช้พลังงาน ลดปริมาณการใช้น้ำ เพิ่มอายุการใช้งานของเฟอร์นิเจอร์ และดีต่อสุขภาพ โดยเน้นใช้วัสดุที่ทนทาน รีไซเคิลได้ หรือมาจากแหล่งที่ยั่งยืน อีกทั้งยังสามารถซ่อมแซม นำกลับมาใช้ใหม่ หรือนำไปรีไซเคิลได้เมื่อหมดอายุการใช้งาน เพื่อสนับสนุนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างครบวงจร
อาหารยั่งยืนจากต้นทางถึงโต๊ะอาหาร
ความใส่ใจในผลิตภัณฑ์ยังขยายไปถึงธุรกิจอาหาร ซึ่งพิมพ์ชนก จิตขันแข็ง ผู้จัดการฝ่ายผลิตในครัว อิเกีย ประเทศไทย เล่าถึงแนวคิดอาหารยั่งยืนว่า อิเกียเลือกใช้วัตถุดิบที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานสากล เช่น ปลาแซลมอนที่ได้รับการรับรองจาก Aquaculture Stewardship Council (ASC) และกาแฟ ช็อกโกแลตที่ได้รับการรับรองจาก Rainforest Alliance และ UTZ ว่าใช้วิธีการปลูกแบบยั่งยืนและชาวไร่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี และมีการปกป้องสิ่งแวดล้อม
“เราต้องรู้ว่าแหล่งวัตถุดิบที่เราได้มา ไม่ได้ทำร้ายใครหรือสิ่งใดระหว่างทาง” พิมพ์ชนกกล่าว พร้อมย้ำว่าการเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพและยั่งยืนช่วยให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการดูแลโลกไปพร้อมกับการรับประทานอาหาร
อิเกียยังเพิ่มเมนูอาหารจากพืช (Plant-Based) เพื่อเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนและดีต่อสุขภาพ โดยปัจจุบัน 50% ของเมนูหลักเป็นอาหารจากพืช เช่น แพลนต์บอล
ขับเคลื่อนพลังงานสะอาดด้วยโซลาร์เซลล์
อิเกีย ประเทศไทยได้ลงทุนกว่า 26 ล้านบาทในการขยายระบบโซลาร์รูฟท็อปที่สโตร์ บางนา ทำให้สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 2,890 เมกะวัตต์-ชั่วโมงต่อปี ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 1,152 เมตริกตันต่อปี เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ราว 19,000 ต้นต่อปี และเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนของสโตร์จาก 15% เป็น 35%
นับตั้งแต่เริ่มติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อปที่สโตร์ บางใหญ่ครั้งแรกในปี 2018 จนถึงปี 2025 การผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ของสโตร์ทั้ง 2 แห่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ถึง 650,000 ต้น
เพิ่มจำนวนรถ EV สู่การขนส่งสีเขียว

อิเกียยังขยายการใช้รถขนส่งสินค้าพลังงานไฟฟ้า (EV) เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มให้บริการครั้งแรกในปี 2566 ที่อิเกีย สุขุมวิท และในเดือนพฤษภาคมนี้ ได้ร่วมกับพันธมิตร Mober เปิดตัวรถบรรทุกไฟฟ้า 21 คันสำหรับขนส่งสินค้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 30 คันภายในสิ้นปีนี้ เพื่อให้การจัดส่งในพื้นที่ดังกล่าวอย่างน้อย 40% ดำเนินการด้วยรถ EV ภายในสิ้นปี 2568 ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 87% ต่อกิโลเมตร หรือราว 950 เมตริกตันต่อปี เทียบเท่ากับการขับรถยนต์จากภูเก็ตไปเชียงใหม่กว่า 6,000 เที่ยว นอกจากนี้ อิเกีย ประเทศไทย ยังตั้งเป้าขยายสัดส่วนการจัดส่งด้วยรถ EV ให้ถึง 70% ภายในปี 2573 ทั่วประเทศ
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
SCBX ปักธง AI-First! เปิด ‘พิมพ์เขียวอนาคต’ Whitepaper ฉบับแรก ชู ‘ใต้ฝุ่น’ นำทัพปฏิวัติการเงิน
ท็อปส์ จับมือ FLS Group เปิดตัว EV Truck ตั้งเป้าลดคาร์บอนฯ 13,335 ตัน ใน 5 ปี