“ผมอยากจะขอเตือนภาคประชาชน ขอให้เตรียมความพร้อมการใช้จ่ายประจำวันให้รอบคอบมากขึ้น เพื่อให้ผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปให้ได้”
ดนุชา พิชยนันท์ เลาธิการสำนักงานงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้พูดไว้เมื่อ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา ถือว่าเป็น think tank คนสำคัญที่พูดถึงภาวะปัจจุบัน ได้พูดไว้เมื่อมีการประเมินเศรษฐกิจไทยในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความแปรเปลี่ยนพลิกผันไปมา
จากคำพูดของคนสภาพัฒน์ ทำให้นึกถึงสภาพคนไทยวันนี้ว่า จมอยู่กับปัญหามากมาย และปัญหาหนี้เป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้คนไทย เคลื่อนตัวไปไหนไม่ได้
นึกถึงสมัยเมื่อเป็นเด็ก อาศัยอยู่แถวถนนเยาวราช ช่วงตรุษสาร์ท จะมีพ่อค้าแม่ค้าเอาไก่เป็ดใส่ในเข่งให้คนเลือก ได้ตัวไหน พ่อค้าจะเชือดถอนขนให้ ความรู้สึกของเป็ดไก่ในเข่งเราไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่า อารมณ์เช่นไร แต่ความตื่นตระหนกที่เบียดกันแน่นในมุมหนึ่งของเข่งเมื่อมือของพ่อค้ายื่นมาในเข่ง พยายามหลบไม่ให้ถูกจับได้ พร้อมกับส่งเสียงร้อง จะหนีก็หนีไม่ได้ ได้แต่ร้องรอความตาย
ทำให้นึกถึงความรู้สึกของคนไทยวันนี้เหมือนกับเป็ด-ไก่ในเข่ง ที่ไม่รู้จะถูกเชือดตอนไหน อารมณ์ของคนไทยที่ต้องอยู่กับปัญหาในแบบที่ไม่มีทางออก
ปัญหาหนี้เป็นมรดกตกทอดมาร่วม 20-30 ปี และรุนแรงมากขึ้นจนเหมือนกับเป็ด-ไก่ในเข่ง ที่สภาพดิ้นรนรอความตายสถานเดียว แม้จะมีความพยายามแก้ไขปัญหาหนี้จากรัฐบาลมาหลายยุคหลายสมัย ปรับโครงสร้างหนี้มากันไม่รู้กี่ครั้ง แต่ผลเกิดขึ้น สามารถแก้หนี้ให้กับกลุ่มคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่รอดไปได้ แต่สภาพหนี้ก็ยังครอบคลุมกับกลุ่มคนมากมาย
- หนี้ครู
- หนี้ข้าราชการ
- หนี้เกษตรกร
- หนี้ SME
- หนี้กยศ.
- ฯลฯ
ไม่นับหนี้บ้าน-หนี้รถ หรือหนี้เกิดจากการค้า ในรูปของสินเชื่อ-โอดี ประเภทต่าง ๆ และไม่นับรวมถึงหนี้นอกระบบ ที่ไม่ใครรู้จำนวนว่ามีมากน้อยเพียงไร รู้แต่มีความเสียหายที่เมื่อไม่สามารถผ่อนชำระ อาจถึงขั้นบาดเจ็บเพราะถูกติดตามหนี้แบบหฤโหดได้ ความจริงการเป็นหนี้นั้นมี 2 ด้าน ด้านบวกก็คือทำให้มีการเคลื่อนไหว หมุนเวียน สามารถทำสิ่งที่ต้องรอถึงวันพรุ่งนี้ให้สามารถบรรลุในวันนี้ได้ แต่ด้านที่เป็นผลลบเมื่อคุณสร้างหนี้มากไปจนเกินภาระหรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันทำให้ภาระการผ่อนชำระเกิดการสะดุด เกิดภาระหนี้ท่วม เหมือนคนส่วนใหญ่ที่เป็นอยู่ในขณะนี้
สาเหตุที่ทำให้เราสร้างหนี้มากไปนั้น สาเหตุสำคัญเกิดจาก
- ขาดการวางแผนการเป็นหนี้ ข้อเท็จจริง คือ คุณไม่สามารถสร้างหนี้ไม่ว่าประเภทไหน เกิน30-40% ของรายได้ที่มีอยู่ได้ ที่จริงถ้า 30% เป็นกำลังความสามารถที่ดี แต่ถ้าเป็น 40% เรียกว่าปริ่มน้ำแล้ว
- ไม่มีการทำบัญชีรับจ่ายในแต่ละวันแต่ละเดือน ทำให้เกิดอาการมือเติบได้ง่าย ข้อสำคัญไม่มีการจัดสรรเงิน ไม่ว่าจะเป็นเงินสำหรับการใช้สอย เงินสำหรับการออมและเงินสำหรับภาวะฉุกเฉิน
- ไม่ได้เพาะปลูกนิสัยการออม มีเท่าไรก็ใช้มากกว่านั้น จนเกิดภาวะ”จมไม่ลง”
Bert Manit ได้เคยเขียนถึงสิ่งที่น่ากลัวกว่าเงินเฟ้อ ก็คือ “Lifestyle Inflation”
Lifestyle Inflation คือโรคติดต่อทางการเงิน ยิ่งรวย ยิ่งติดง่าย รักษายาก
“หาได้เยอะ ใช้เยอะ” กาแฟแก้วละ 40 บาทไม่เพียงพออีกต่อไป ต้อง สตาร์บัค 120++
เสื้อผ้าในตู้เก่าๆ กลายเป็น “ไม่เหมาะสมกับสถานะ” ต้องแบรนด์เนม
“รายได้สูงขึ้น เรารู้สึกว่ามีอำนาจในการจับจ่าย เดินดูของในห้างก็ หวานเจี๊ยบเลย เราซื้อได้”
แต่หลายครั้ง “เรารู้ว่า ‘ซื้อได้” แต่เราลืมคิดว่า “จำเป็นต้องซื้อไหม”
อีกหนึ่งวรรคทอง ที่ควรเก็บไว้ในสถานการณ์วันนี้
“อยากมีเงินเก็บมากขึ้น ต้องลดเงินจ่ายก่อน”
การเพิ่มรายได้ -ยากกว่า – การลดรายจ่ายเสมอ
การเพิ่มรายได้ต้องใช้เวลา ต้องรอให้บริษัทปรับเงินเดือน ต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ หรือหางานเสริม
“แต่การลดรายจ่าย? เราทำได้ทันทีเดี๋ยวนี้ เห็นผลเร็วกว่า ควบคุมได้มากกว่า”
“ไม่มีใครเคยจน… เพราะไม่ซื้อของที่ไม่จำเป็น”
การจัดการการเงินที่ดี คุณต้องมีครบทั้ง 3 สิ่งนี้
- ใช้สติปัญญา
- รู้จักคุณค่า ของที่ได้มาและเสียไป
- วางรายได้ที่สามารถเคลื่อนย้ายตามสถานการณ์ อย่ายึดติด
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
นิสัยที่สร้างได้ยากที่สุดของผู้คนวันนี้
เศรษฐกิจผันผวน เช็กด่วน! เงินสำรองพร้อมไหม?