ท่ามกลางภูมิทัศน์ทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ของไทย ซึ่งเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของประเทศ กำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญ คำถามสำคัญไม่ได้อยู่แค่ว่าจะอยู่รอดได้อย่างไร แต่อยู่ที่ว่าจะสามารถทลายข้อจำกัดเดิม ๆ และเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืนในโลกยุคใหม่ได้อย่างไร
วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME คือหัวใจและกระดูกสันหลังของระบบเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง แต่บนเส้นทางการดำเนินธุรกิจ ผู้ประกอบการจำนวนมากกลับต้องเผชิญความท้าทายอันหนักหน่วงและซับซ้อน สุปรีย์ ทองเพชร ประธานสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย (สภาเอสเอ็มอี) กล่าวว่า ปัญหาสำคัญนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า ปัญหาพื้นฐานที่สุดคือการที่ SME ไทย “รวมกันไม่ติด” ทำให้ขาดพลังในการต่อรองและสร้างการรับรู้ เมื่อต่างคนต่างสู้ จึงนำไปสู่สภาวะไร้ตัวตนในภาพใหญ่ ดังที่เคยเกิดขึ้นกับมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐมูลค่ามหาศาลกว่า 5 แสนล้านบาทในอดีต ซึ่งไปไม่ถึงมือผู้ประกอบการเท่าที่ควร เนื่องจากปัญหาการไม่มี “ตัวตน” ที่ชัดเจน
จากภาพรวมของปัญหาและความท้าทายเหล่านี้เอง ที่ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง AIS มองเห็นและตระหนักถึงความจำเป็นในการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งขึ้น ดร.ศรีหทัย พราหมณี ผู้จัดการโครงการเพื่อธุรกิจ SMEs กล่าวว่า วิสัยทัศน์ “AIS Infinite SMEs” และยุทธศาสตร์ “3ส” ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือสนับสนุนและวางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เพื่อช่วยลดช่องว่างและสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการ
โดย ‘ส.เสริม’ คือการเสริมทักษะผ่าน AIS Academy ที่มีมาตรฐาน ISO และหลักสูตรพิเศษ “Transformative Infinite SMEs” ที่จะคัดเลือก 30 บริษัทที่มีศักยภาพเพื่อบ่มเพาะและสร้างเครือข่ายสู่การเข้าตลาดหลักทรัพย์ MAI, ‘ส.สร้าง’ คือการสร้างระบบธุรกิจให้มีมาตรฐานสากลด้วยซอฟต์แวร์ที่ได้การรับรอง ISO 29110 พร้อมเปิดตัว “ISO Marketplace for SMEs” และมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อส่งเสริมการใช้งาน และสุดท้ายคือ ‘ส.สยายปีก’ ซึ่งเป็นการใช้ศักยภาพของ AIS ในการเปิดประตูสู่โอกาสทางการตลาดใหม่ ๆ
ดิวานาเวลเนส: เติบโตจากทุกวิกฤติด้วยเป้าหมายที่ยั่งยืน
เรื่องราวของ ดิวานา เวลเนส คือบทพิสูจน์ของการเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส ธเนศ จิระเสวกดิลก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดและผู้ร่วมก่อตั้ง ดิวานา เวลเนส เล่าว่าธุรกิจของเขาเริ่มต้นขึ้นในปี 2001 ท่ามกลางวิกฤติที่ทำให้เขาต้องออกจากอาชีพสจ๊วตที่ทำมากว่า 10 ปี แต่เขากลับนำประสบการณ์ที่ได้เห็นไลฟ์สไตล์และโมเดลธุรกิจจากทั่วโลก มาสร้างเป็นธุรกิจสปาที่ต่อยอดจากวิทยานิพนธ์ของตนเอง “เริ่มต้นทุกครั้งของดีวาน่า คือจากวิกฤตทุกครั้งเลย” ธเนศกล่าว
ตลอดเส้นทาง 25 ปี ดิวาน่าต้องเผชิญกับความท้าทายนานัปการ ตั้งแต่ความไม่สงบทางการเมือง อุทกภัย ไข้หวัดนก SARS จนถึงโควิด-19 แต่กลับสามารถเติบโตและขยายธุรกิจจากสปา สู่ Medical Spa คลินิกความงาม และผลิตภัณฑ์เครื่องหอมครบวงจรได้สำเร็จ กุญแจสำคัญคือการมี Passion ที่ถูกพัฒนาสู่ความเป็น Professional และการมี Purpose หรือเป้าหมายในการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้คน โดยมีแก่นหลักทางธุรกิจที่แข็งแกร่งคือ “การนำภูมิปัญญาไทยผสมผสานนวัตกรรม และใส่ความเป็นเลิศด้านบริการ (Hospitality) เข้าไป” จนมีเป้าหมายสูงสุดคือเรื่องของ Longevity หรือการมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีความสุข
เส้นทางของดิวาน่าจึงเป็นบทเรียนที่ว่าด้วยความทรหดอดทน การปรับตัวอย่างไม่หยุดนิ่ง และการมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เป็นเครื่องนำทาง
แสงเจริญแกรนด์: พลิกตำนานธุรกิจครอบครัวด้วยวิสัยทัศน์ใหม่
ในอีกมุมหนึ่ง เรื่องราวของ บริษัท แสงเจริญแกรนด์ จำกัด คือบทเรียนด้านการพลิกโฉมมรดกให้เติบโตในโลกยุคใหม่ จิรโรจน์ พจนาวราพันธุ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท แสงเจริญแกรนด์ จำกัด ทายาทรุ่นที่ 3 ได้เข้ามารับไม้ต่อจากธุรกิจครอบครัวอายุ 60 ปี ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากคุณยายวัย 98 ปีที่มองเห็นมูลค่าในเศษผ้าเหลือทิ้ง (Textile Waste) และโรงงานของคุณพ่อที่ผลิต “เส้นด้ายสำหรับม็อบถูพื้น” มาอย่างยาวนาน
จิรโรจน์ มองเห็นโอกาสในเทรนด์ความยั่งยืนและเศรษฐกิจหมุนเวียนที่โลกกำลังมุ่งไป เขาจึงตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนโรงงานแบบดั้งเดิมให้กลายเป็นศูนย์กลางการรีไซเคิลสิ่งทอแห่งอาเซียน แต่การเปลี่ยนแปลงธุรกิจที่หยั่งรากลึกไม่ใช่เรื่องง่าย เขาเผยว่าใช้กลยุทธ์ “ป้อนพิซซ่าคำเล็ก” โดยเริ่มจากการสร้างแบรนด์สินค้าทำความสะอาด “Supercat” ให้ประสบความสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ก่อน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นภายในครอบครัว แล้วจึงขยายสู่การสร้างแบรนด์ผ้ารีไซเคิลที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรมอย่าง “Essigar” และ “Circular” จนได้ร่วมงานกับแบรนด์ชั้นนำมากมาย ตั้งแต่นิตยสาร Vogue, Carnival ไปจนถึงการนำยูนิฟอร์มเก่าของการบินไทยกลับมารีไซเคิลใหม่
ซึ่งความกล้าในการนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ ส่วนหนึ่งมาจากประสบการณ์ที่เขาเคยทำสตาร์ตอัพของตัวเองชื่อ “วิถีไทย” และเคยเข้าร่วมโครงการ AIS The Startup มาก่อน เรื่องราวของแสงเจริญแกรนด์จึงเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการเคารพในรากฐานเดิม แต่กล้าที่จะสร้างวิสัยทัศน์ใหม่ และบริหารการเปลี่ยนแปลงอย่างชาญฉลาด
เส้นทางการเติบโตของทั้งดิวานา เวลเนส และ แสงเจริญแกรนด์ แม้จะแตกต่างกันในรายละเอียด แต่กลับมีจุดร่วมที่สำคัญ นั่นคือการมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ความสามารถในการปรับตัว และความมุ่งมั่นที่จะสร้างคุณค่าที่แตกต่าง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับ SME ไทยในปัจจุบัน และเมื่อประกอบเข้ากับระบบนิเวศที่เอื้ออำนวยและเครื่องมือสนับสนุนที่ทันสมัย ก็ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าการเติบโตอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั้น ไม่ใช่เพียงความฝัน แต่เป็นอนาคตที่เกิดขึ้นได้จริง