Share on
×

Share

BOL ชี้ทางรอดธุรกิจยุคใหม่ ชู ‘Data-Driven Transformation’ เป็นเข็มทิศฝ่าเศรษฐกิจผันผวน

บมจ. บิซิเนส ออนไลน์ หรือ BOL เรียกร้องภาคธุรกิจไทยปรับตัวรับมือความท้าทายทางเศรษฐกิจ ชี้การตัดสินใจโดยใช้ข้อมูล หรือ Data-Driven Decision Making ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็นต่อการอยู่รอดและการเติบโต พร้อมเปิดแนวทาง 5 ขั้นตอนสู่การทำ Data-Driven Transformation เปลี่ยนข้อมูลให้เป็นพลังขับเคลื่อนองค์กรอย่างยั่งยืน

การบรรยายหัวข้อ “From Inside to Impact: How to Achieve Data-Driven Transformation” ภายในงานสัมมนา “Thailand CEO Vision” เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีนา อินทเนตร กรรมการและผู้อำนวยการบริหาร บริษัท บิซิเนส ออนไลน์ จำกัด (มหาชน) ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการนำข้อมูลมาใช้เป็นเครื่องมือหลักในการดำเนินธุรกิจ โดยเริ่มต้นจากการเปรียบเทียบว่าการใช้ข้อมูลนั้นมีมานาน เทียบเท่าภูมิปัญญาของชาวนาในอดีต ที่รู้จักมองดาวเพื่อวางแผนเพาะปลูก และในยุคปัจจุบันที่ข้อมูลเข้าถึงได้ง่าย การนำข้อมูลมาใช้จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

มีนาชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการตัดสินใจในโลกธุรกิจ B2B และ B2C โดยระบุว่าการค้าขายระหว่างองค์กรนั้นขับเคลื่อนด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริง ซึ่งต่างจากการซื้อสินค้าของผู้บริโภคที่มักใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง “ทุกการตัดสินใจในนามบริษัทมีผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น พนักงาน และภาพลักษณ์องค์กร ดังนั้นเหตุผลต้องมาชนะความรู้สึกเสมอ” มีนากล่าว พร้อมอ้างอิงถึงคำพูดของ Michael Bloomberg ที่ว่า “In God we trust, all others must bring data” เพื่อตอกย้ำว่าในโลกธุรกิจ ความน่าเชื่อถือต้องพิสูจน์ได้ด้วยข้อมูล

ผู้บริหาร BOL ได้จำแนกประเภทข้อมูลทางธุรกิจที่สำคัญออกเป็น 2 ส่วน คือ ข้อมูลพื้นฐาน (Foundational Data) เช่น ประวัติบริษัท วันก่อตั้ง ทุนจดทะเบียน และงบการเงิน และข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงลึกที่สร้างความได้เปรียบ เช่น คะแนนความเสี่ยงด้านไซเบอร์ (Cyber Risk Rating) ข้อมูลสินเชื่อทางการค้า และการวิเคราะห์แบรนด์บนโซเชียลมีเดีย

BOL ชี้ทางรอดธุรกิจยุคใหม่ ชู ‘Data-Driven Transformation’ เป็นเข็มทิศฝ่าเศรษฐกิจผันผวน

โดยข้อมูลที่ดีต้องมีคุณสมบัติ 3 ประการ หรือ 3Vs คือ มีปริมาณที่ครบถ้วน (Volume) มีความสดใหม่ทันต่อเหตุการณ์ (Velocity) และมีความหลากหลาย (Variety)

ก่อนจะนำข้อมูลไปใช้ มีนาระบุว่าต้องผ่านกระบวนการ 4 ขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การรวบรวม (Aggregation),การกลั่นกรองจัดระเบียบ (Transformation) การวิเคราะห์ (Analytics) และการนำไปประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI โดยได้เน้นย้ำว่า “AI จะไม่มีความหมายเลย ถ้าข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ไม่มีความครบถ้วนและถูกต้อง เพราะ AI ที่ดีต้องตั้งอยู่บนฐานข้อมูลที่มีคุณภาพ”

มีนาได้ยกตัวอย่างการประยุกต์ใช้ข้อมูลที่จับต้องได้หลายกรณี ตั้งแต่การใช้เวลาเพียง 3 นาทีตรวจสอบประวัติคู่ค้าเพื่อป้องกันความเสียหาย การใช้ “Credit Score” เพื่อประเมินความเสี่ยงที่บริษัทคู่ค้าจะประสบปัญหาทางการเงินในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งหากได้เกรด A ก็สบายใจได้ แต่ถ้าเป็นเกรด 6 หรือต่ำกว่านั้นต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ ไปจนถึงการวิเคราะห์กระแสเงินสดเพื่อตั้งคำถามว่า “หากคู่ค้าจะซื้อของมูลค่า 20 ล้าน แต่กระแสเงินสดเขาไม่ถึง เขาจะเอาเงินจากที่ไหนมาจ่ายเรา”

นอกจากนี้ การใช้ Social Listening Tool เพื่อตรวจสอบว่าบริษัทคู่ค้าถูกกล่าวถึงบน Pantip หรือ Facebook อย่างไร ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีบริหารความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์

“ปัญหาคลาสสิกของ SME คือการให้เครดิตเทอมแล้วลูกค้าไม่ชำระเงิน เราสามารถใช้ข้อมูลวิเคราะห์พฤติกรรมการจ่ายเงินของลูกค้ารายนั้นกับซัพพลายเออร์เจ้าอื่น เพื่อเป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าได้” มีนากล่าว

เพื่อเป็นแนวทางให้องค์กรต่าง ๆ สามารถเริ่มต้นได้อย่างเป็นรูปธรรม มีนาได้นำเสนอแผนปฏิบัติการ 5 ขั้นตอนสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล โดยย้ำว่าขั้นตอนแรกคือการตั้งเป้าหมายที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายองค์กรมักมองข้าม จากนั้นจึงเป็นการหาข้อมูลที่ใช่ การเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม การผนวกการใช้ข้อมูลเข้ากับกระบวนการทำงาน และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้คนเห็นความสำคัญและใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ

“หัวใจของเรื่องทั้งหมดคือการสร้าง Data as a culture ให้เกิดขึ้นในองค์กร การลงทุนด้านข้อมูลอาจไม่ใช่เรื่องที่มีค่าใช้จ่ายสูงเสมอไป แต่มันคือสิ่งที่จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายมหาศาลและขยายโอกาสทางธุรกิจได้อย่างยั่งยืน” มีนากล่าวทิ้งท้าย

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘AIS Infinite SMEs’: วิสัยทัศน์ใหม่เพื่อความสำเร็จของ SME ไทย

คลื่นปฏิวัติธุรกิจ: สองซีอีโอไทย ไขรหัสปรับตัวสู่โลกยุคใหม่

×

Share

ผู้เขียน