Share on
×

Share

พลิกวิกฤติ Net Zero เป็นโอกาส

จากเวที “Startup Connect” ในงาน Startup Thailand 2025 จัดโดย NIA ชี้ช่องว่างตลาดมหาศาลพอสร้างยูนิคอร์น ด้าน TGO กางแผนสู่เป้าหมายชาติ ขณะที่ MuvMi ถอดบทเรียนความสำเร็จจากสนามจริง

กระแสโลกที่มุ่งหน้าสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ไม่ใช่เป็นเพียงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นสมรภูมิธุรกิจที่สร้างทั้งแรงกดดันมหาศาลและเปิดโอกาสครั้งประวัติศาสตร์ให้แก่ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะสตาร์ตอัพสายเทคโนโลยีสีเขียว (Green Tech) และพลังงาน (Energy Tech) ซึ่งถูกวางตำแหน่งให้เป็นผู้กุมกุญแจสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อนำพาภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของประเทศให้สามารถเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจสีเขียวและเติบโตได้อย่างยั่งยืน

ในเวที “Startup Connect” ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเชื่อมโยงระบบนิเวศของอุตสาหกรรมนี้โดยเฉพาะ ทั้งในมิติของการพัฒนาศักยภาพ การเข้าถึงแหล่งทุน การจับคู่ธุรกิจ และการสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่ง ผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและเอกชนได้ร่วมกันฉายภาพฉากทัศน์ทั้งหมด ตั้งแต่เป้าหมายระดับมหภาคของประเทศ ผลกระทบที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญ ไปจนถึงแนวทางและโอกาสที่รออยู่สำหรับสตาร์ตอัพไทย

ธาดา วรุณโชติกุล - ปริวรรต วงษ์สำราญ - ศุภพงษ์ กิติวัฒนศักดิ์

ธาดา วรุณโชติกุล ผู้จัดการ สำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เปิดเผยถึงแผนที่นำทางสู่ Net Zero ของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2608 ซึ่งเป็นภารกิจที่เต็มไปด้วยความท้าทาย โดย TGO คาดการณ์ว่าหากไม่มีการดำเนินการใด ๆ ในปี 2573 ประเทศไทยจะมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 555 ล้านตัน จึงได้ตั้งเป้าหมายเชิงรุกที่จะลดการปล่อยก๊าซฯ ลง 20-25% หรือประมาณ 100 ล้านตันภายในปีดังกล่าว โดยมุ่งเน้นกำกับดูแลภาคพลังงานเป็นหลัก เนื่องจากเป็นแหล่งปล่อยก๊าซฯ กว่า 70% ของทั้งหมด

สำหรับแผนระยะยาวนั้นประกอบด้วยหลายหมุดหมายสำคัญ โดยในปี 2578 ตั้งเป้าให้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่จดทะเบียนใหม่มีสัดส่วนถึง 69% ในปี 2580 มุ่งเพิ่มศักยภาพการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกของประเทศให้สูงถึง 120 ล้านตันผ่านการปลูกป่าและเพิ่มพื้นที่สีเขียว และภายในปี 2593 จะมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่แท้จริงคือการลดปริมาณการปล่อยก๊าซฯ จากปัจจุบันที่สูงถึง 372 ล้านตัน ให้เหลือเพียง 120 ล้านตัน ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับทุกภาคส่วน

จากเป้าหมายระดับประเทศดังกล่าวได้ส่งผลกระทบโดยตรงสู่สนามธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ด้านระบบนวัตกรรม ได้ชี้ให้เห็นว่า แม้สตาร์ตอัพอาจไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาครัฐโดยตรง แต่แรงกดดันทางอ้อมจากเวทีโลกนั้นรุนแรงยิ่งนัก โดยเฉพาะจากมาตรการอย่าง CBAM ของสหภาพยุโรปที่อาจเก็บภาษีหรือกีดกันสินค้าที่ปล่อยคาร์บอนเกินเกณฑ์ ขณะเดียวกัน พฤติกรรมของบริษัทขนาดใหญ่ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงและยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทาน

ซึ่งในส่วนนี้ธาดา อธิบายว่าการแข่งขันได้เปลี่ยนจากการพิจารณาว่าผู้ผลิตมีการจัดเก็บข้อมูลคาร์บอนหรือไม่ ไปสู่การเปรียบเทียบว่าใครปล่อยคาร์บอนน้อยกว่ากัน และในที่สุดคือการมองหาผู้ผลิตที่ไม่ปล่อยคาร์บอนเลย สถานการณ์เช่นนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าการปรับตัวสู่แนวทาง Net Zero ไม่ใช่ “ทางเลือก” อีกต่อไป แต่เป็น “ความอยู่รอด” ของธุรกิจในอนาคต

การเปลี่ยนแปลงนี้ได้สร้างโอกาสทองให้สตาร์ตอัพ Green Tech เข้ามามีบทบาทสำคัญ ปริวรรตได้จำแนกแนวทางที่เปิดกว้างให้สตาร์ตอัพเข้ามาพัฒนาเทคโนโลยีได้ 3 รูปแบบหลัก คือ การลด (Reduce) การใช้พลังงานผ่านเทคโนโลยีอย่าง Smart Factory การเปลี่ยนแหล่งพลังงาน (Source Shift) ไปสู่พลังงานสะอาดเช่นแสงอาทิตย์หรือยานยนต์ไฟฟ้า และการดูดกลับ (Carbon Capture) ก๊าซส่วนเกินด้วยเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนต้องการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นหัวใจสำคัญ และเป็นสิ่งที่ NIA พร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ผ่านกรอบการทำงาน “Groom, Grant, Growth, Global”

โดยเฉพาะการสนับสนุนด้านเงินทุน (Grant) ที่มีโครงการให้เปล่าสูงถึง 5 ล้านบาทสำหรับสตาร์ตอัพใน 3 กลุ่มเป้าหมายคือ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เทคโนโลยีสีเขียวและพลังงานหมุนเวียน และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ควบคู่ไปกับการเร่งการเติบโตผ่าน Acceleration Program และการเปิดประตูสู่ตลาดโลก ดังที่ได้นำสตาร์ตอัพไทยไปแสวงหาโอกาสถึงประเทศสวีเดนและกาตาร์มาแล้ว

บทเรียนจากสนามจริงของสตาร์ตอัพที่ประสบความสำเร็จในการเดินทางสายนี้คือ MuvMi ซึ่ง ศุภพงษ์ กิติวัฒนศักดิ์ Co-Founder of MuvMi หรือ “ตงตี้” ได้ถ่ายทอดเรื่องราวตั้งแต่แรงบันดาลใจที่เห็นคนต่อแถวรอวินมอเตอร์ไซค์ สู่การสร้างธุรกิจที่นิยามตัวเองว่าเป็น “Mobility Platform” ไม่ใช่แค่บริษัทรถตุ๊กตุ๊ก โดยตลอด 6 ปีที่ผ่านมา MuvMi ได้ให้บริการการเดินทางไปแล้วกว่า 18 ล้านเที่ยวคน ด้วยยานยนต์ไฟฟ้ากว่า 800 คัน ทั้งในรูปแบบ B2C สำหรับผู้เดินทางทั่วไป และ B2B ที่เข้าไปให้บริการรับส่งพนักงานแก่องค์กรขนาดใหญ่

เขาเน้นย้ำถึงความท้าทายในช่วงก่อตั้งเมื่อปี 2559 ซึ่งรถ EV ยังไม่เป็นที่รู้จัก ทำให้การสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนเป็นโจทย์ที่ยากที่สุด และเมื่อได้รับทุนมาแล้ว การบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพคือกุญแจสู่ความอยู่รอด โดย MuvMi เลือกที่จะหาพันธมิตรทางเทคโนโลยีที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน แทนที่จะเผาเงินทุนไปกับการสร้างทุกอย่างขึ้นมาเอง นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับมิติทางสังคม โดยการสร้างงานให้คนในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีม ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน

เมื่อมองไปข้างหน้า ผู้เชี่ยวชาญได้ให้คำแนะนำที่ชัดเจนสำหรับสตาร์ตอัพรุ่นใหม่ ธาดา แนะว่าไม่ควรมองแค่เทคโนโลยี “ลด” การใช้พลังงาน เพราะปริมาณการผลิตขององค์กรใหญ่ไม่มีทางลดลง แต่ต้องมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยี “เปลี่ยน” แหล่งพลังงานไปสู่พลังงานสะอาดและเทคโนโลยี “ดูดกลับ” คาร์บอน

ขณะที่ศุภพงษ์ เสริมว่า แม้เทคโนโลยีต่างประเทศจะล้ำหน้า แต่การพัฒนาเทคโนโลยีที่ “ตอบโจทย์” บริบทของไทยได้อย่างแท้จริงคือช่องว่างและโอกาสสำคัญ

สุดท้าย ปริวรรต ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า “ถึงเราจะช้าไป แต่ก็ไม่ช้าจนเราไม่สามารถเก็บเกี่ยวอะไรได้” เพราะความต้องการเทคโนโลยีด้านนี้ในประเทศไทยมีมากเพียงพอที่จะสร้างยูนิคอร์นตัวต่อไปได้ ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นผ่านกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ภายในงาน ที่เชื่อมโยงสตาร์ตอัพกับหน่วยงานลงทุนชั้นนำอย่าง Beacon Venture, New Energy Nexus, InnoSpace, Kubota และอีกมากมาย เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นชาตินวัตกรรมอย่างแท้จริง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

AIS เปิดตัว ‘AIS Infinite SME’ นำ AI ขับเคลื่อนสตาร์ตอัพและ SME ไทย

เนคเทค สวทช. จับมือ สยาม เอไอ เร่งพัฒนา ‘Thai LLM’ เสริมแกร่งโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไทย

×

Share

ผู้เขียน