Share on
×

Share

Human-Centric Marketing การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วย Human Data

ลองจินตนาการถึงโลกที่แบรนด์ไม่ได้มองคุณเป็นเพียง “ผู้บริโภค” ที่มีประวัติการซื้อ แต่เข้าใจคุณในฐานะ “มนุษย์” ที่มีความเครียด ความเหนื่อยล้า หรือความสุข โลกที่แบรนด์ไม่ได้แค่ยิงโฆษณาสินค้าที่คุณน่าจะชอบ แต่เสนอทางออกที่ช่วยให้ชีวิตคุณดีขึ้นอย่างแท้จริงในวันนั้น ๆ โลกใบนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่คือแก่นของ “Human-Centric Marketing” ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่ลึกซึ้งที่สุด นั่นคือ “Human Data” ซึ่งเป็นแนวคิดจาก คุณหนุ่ย-ณัฐพล ม่วงทำ แห่งเพจการตลาดวันละตอน ที่คลี่ภาพอนาคตของการใช้ข้อมูลเพื่อการตลาดบนเวที Creative Talk Conference 2025 (CTC 2025)

วิวัฒนาการของการใช้ “ดาต้า” ที่ผ่านมา

ก่อนจะก้าวไปสู่อนาคต คุณหนุ่ย บอกว่าเราต่างเดินทางผ่านยุคสมัยของการใช้ข้อมูลมาแล้วหลายยุค ตั้งแต่การใช้ Business Data (ข้อมูลการขาย) เพื่อทำ Mass Marketing ในยุค 1.0 การใช้ Customer Data (ข้อมูลสมาชิก) เพื่อทำ CRM ในยุค 2.0 การใช้ Digital Behavior Data (ข้อมูลคุกกี้และการคลิก) เพื่อทำ Performance Marketing ในยุค 3.0 มาจนถึงยุคปัจจุบันของการทำ Omni-Data ที่รวมข้อมูลทุกมิติเพื่อสร้าง Personalization หรือการตลาดแบบรู้ใจในยุค 4.0 แต่ทั้งหมดนั้นยังคงมองเราในมุมของ “ลูกค้า” เป็นหลัก

ก้าวสู่มิติที่ 5: “Human Data” ข้อมูลจากร่างกายและชีวิตจริง

จุดเปลี่ยนที่แท้จริงกำลังจะเริ่มขึ้นในยุคที่ 5 ซึ่งขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจากชีวิตและร่างกายของเราโดยตรง คุณหนุ่ยเล่าประสบการณ์ส่วนตัวจากการทำ Sleep Test ที่ทำให้ค้นพบว่า การเปลี่ยนท่านอนจาก “นอนหงาย” มาเป็น “นอนตะแคงซ้าย” ตามคำแนะนำของ AI ช่วยให้การนอนหลับของเขาดีขึ้นจนคนในบ้านรู้สึกได้

วินาทีนั้นทำให้เขาตกผลึกว่า “ถ้าแบรนด์หมอนรู้ข้อมูลนี้ และยื่นข้อเสนอที่ใช่มาให้ ผมก็พร้อมจะซื้อทันที”

นี่คือพลังของ Human Data ที่เก็บผ่านเทคโนโลยีใกล้ตัวเรามากขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะเป็น Wearable Devices จากแอปนับก้าวในยุคแรก สู่สมาร์ทวอทช์ที่วัดคลื่นหัวใจ (ECG) และแหวนอัจฉริยะที่ติดตามการนอนหลับได้ 24 ชั่วโมง หรือ Internet of Things (IoT) อุปกรณ์ในบ้านที่ฉลาดขึ้น เช่น ที่นอน AI ที่ปรับระดับอัตโนมัติเพื่อสรีระที่ดีที่สุด หรือเครื่องสแกนปัสสาวะในโถสุขภัณฑ์ที่วิเคราะห์สุขภาพเราได้ทุกเช้า และ AI & Computer Vision: เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำถึงขั้นใช้กล้องมือถือสแกนใบหน้าเพื่อประเมินความดันโลหิต หรือกระจกอัจฉริยะที่สแกนสัดส่วนและมวลร่างกายของเราได้

ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้บอกแค่ “พฤติกรรมการซื้อ” แต่บอกถึง “สภาวะของร่างกายและจิตใจ” ในแต่ละวัน ซึ่งเป็นข้อมูลที่ลึกซึ้งและมีความหมายมากกว่าที่เคยมีมา

ไม่ใช่แค่ “รู้ใจ” แต่ต้อง “เข้าใจและใส่ใจ” ชีวิต

เมื่อแบรนด์เข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ได้ พลังที่ยิ่งใหญ่ย่อมมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง การตลาดในยุคต่อไปจึงไม่ใช่แค่การสร้างแคมเปญที่รู้ใจ (Personalization) แต่ต้องยกระดับไปสู่ “Humanized Personalization” ที่มีความเข้าอกเข้าใจและปรารถนาดีต่อลูกค้าอย่างแท้จริง

ลองนึกภาพร้านกาแฟเจ้าประจำของคุณ ที่เข้าถึงข้อมูล (ที่คุณอนุญาต) แล้วพบว่าเมื่อคืนคุณนอนน้อยและมีอัตราการเต้นของหัวใจสูงกว่าปกติ แทนที่บาริสต้าจะแนะนำกาแฟสูตรเดิมที่เคยสั่ง (Data 4.0) เขากลับเสนอ “ชาคาโมมายล์” เพื่อช่วยให้คุณผ่อนคลาย (Data 5.0) นี่คือความแตกต่างระหว่าง “การตลาดที่รู้ใจ” กับ “การตลาดที่ใส่ใจ”

อนาคตของการตลาดอยู่ในมือของนักการตลาดที่มี “จริยธรรม”

คุณหนุ่ยทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า โลกไม่ได้ต้องการนักการตลาดที่เก่งกาจขึ้น แต่ต้องการ “นักการตลาดที่มีความเป็นมนุษย์และมีจริยธรรมมากกว่าเดิม” ในยุคที่ข้อมูลเชิงลึกกลายเป็นเรื่องพื้นฐาน ชัยชนะของแบรนด์จะไม่ได้วัดกันที่ใครทำกำไรได้สูงสุด แต่วัดกันที่ “ใครทำให้คุณภาพชีวิตของผู้คนดีขึ้นได้มากกว่ากัน” ผ่านผลิตภัณฑ์และบริการที่นำเสนอ ดังนั้น อนาคตของธุรกิจจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับ AI หรือเทคโนโลยีใด แต่ขึ้นอยู่กับ “คุณ” นักการตลาดทุกคน ที่จะเลือกว่าจะใช้พลังของข้อมูลนี้เพื่อฉวยโอกาส หรือเพื่อสร้างคุณค่าและทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้นอย่างยั่งยืน

×

Share

ผู้เขียน