Share on
×

Share

AI คือหัวใจสำคัญของการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในโลกยุคใหม่

สภาวะการณ์ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งจากเศรษฐกิจภายในประเทศที่กำลังเผชิญมรสุมครั้งใหญ่ และภูมิทัศน์ของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง บทสนทนาระหว่างสองผู้บริหารแถวหน้าของวงการเทคโนโลยีไทย คุณยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai และ คุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ได้ชี้มุมมองที่จำเป็นต่อการอยู่รอดของภาคธุรกิจ 

คุณยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai ได้ตีแผ่ภาพจริงของวิกฤติในระดับฐานรากผ่านอุตสาหกรรมร้านอาหาร ขณะที่ คุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ได้นำเสนอภาพการ “กลายพันธุ์” ของระเบียบโลกในระดับมหภาค ซึ่งบทสรุปจากทั้งสองมุมมองได้ชี้ไปยังทิศทางเดียวกันว่าเทคโนโลยีโดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) คือหัวใจสำคัญของการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในโลกยุคใหม่

วิกฤตการณ์ร้านอาหารไทย: เมื่อข้อมูลจริงตีแผ่ความน่ากังวล

คุณยอดได้เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงสถานการณ์ของธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งเป็นเรื่องที่เปรียบเสมือน “ปมในใจ” จากประสบการณ์ที่คลุกคลีในวงการมานานกว่า 15 ปี เขายืนยันว่าปีนี้เป็นปีที่ผู้ประกอบการ “เหนื่อยเป็นอันดับต้น ๆ”

ข้อมูลเชิงประจักษ์จากเสียงสะท้อนของคนในวงการโดยตรง เช่น เชฟต้น แห่งร้าน Le Du ที่เป็นถึงร้านระดับมิชลินสตาร์และติดอันดับ Asia’s 50 Best ยังยอมรับว่ายอดขายร้านอาหารประเภท Fine Dining ลดลงโดยเฉลี่ยถึง 60-70% สอดคล้องกับข้อมูลจากนายกสมาคมภัตตาคารไทยที่ระบุว่าร้านอาหารหลายแห่งมียอดขายตกจากวันละ 50,000 บาท เหลือเพียง 20,000 บาท 

ขณะที่ภาระต้นทุนกลับสวนทาง โดยราคาวัตถุดิบพุ่งสูงขึ้นราว 25% และค่าแรงปรับขึ้นอีก 5% ข้อมูลภายในของ LINE MAN Wongnai เองก็ยิ่งตอกย้ำภาพวิกฤติให้ชัดเจนขึ้น เมื่อพบว่ายอดขายของร้านอาหารเดิมที่ไม่รวมเดลิเวอรี (Same-Store Sales) ในไตรมาส 2 ของปีนี้ ดิ่งลงอย่างน่าตกใจถึง 14% ซึ่งรุนแรงกว่าปีก่อนหน้าที่ลดลงเพียง 3% อย่างมาก 

นอกจากนี้ จำนวนร้านอาหารเปิดใหม่ยังลดลงต่อเนื่อง จากเกือบหนึ่งแสนร้านในปี 2023 เหลือเพียงสี่หมื่นกว่าร้านในปีนี้ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและเงินทุนที่หดหายไปจากตลาด แต่ที่น่ากังวลคือ แม้จะมีผู้เล่นใหม่น้อยลง อัตราการล้มเหลวกลับยังคงที่ โดย 50% ของร้านเปิดใหม่ยังคงต้องปิดตัวลงภายใน 1 ปี ซึ่งคุณยอดนิยามว่าเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงแต่ผลตอบแทนต่ำ (High risk, Low return) ไม่ต่างจากธุรกิจสตาร์ตอัพ

สี่แนวทางสู่ทางรอดจากมุมมองผู้ประกอบการ

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางวิกฤติยังมีหนทางรอดซ่อนอยู่ คุณยอดได้เสนอแนวทางแก้ไขที่เป็นรูปธรรม 4 ประการ ประการแรกคือ การใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์สูงสุด แม้ยอดขายหน้าร้านจะตก แต่ช่องทางฟู้ดเดลิเวอรียังคงเติบโต โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 25% เป็น 29% ของยอดขายรวม การนำเทคโนโลยีอย่างการสั่งอาหารผ่าน QR Code (Digital Ordering) มาใช้ก็ช่วยลดความผิดพลาดและประหยัดต้นทุนพนักงานได้ ขณะที่การรองรับการชำระเงินดิจิทัล (Digital Payment) ซึ่งมีสัดส่วนการใช้งานเพิ่มจาก 36% เป็น 50% ในเวลาเพียง 2 ปี ไม่เพียงอำนวยความสะดวก แต่ยังกระตุ้นให้เกิดยอดใช้จ่ายต่อบิลสูงกว่าเงินสดถึง 32% 

ประการที่สองคือ การออกแบบธุรกิจเพื่อการขยายตัว (Design for Expansion) โดยข้อมูลชี้ชัดว่าร้านอาหารแบบบริการด่วน (Quick Service Restaurant) และร้านที่เป็นเชนขนาดใหญ่กำลังเติบโตและเข้ามากินส่วนแบ่งตลาด สวนทางกับร้านอาหารบริการเต็มรูปแบบ (Full Service) และร้านค้าเดี่ยว (Stand-alone) ที่กำลังอยู่ยากขึ้น 

ประการที่สามซึ่งเป็นจุดที่น่ากังวลที่สุดคือ การทำข้อมูลให้ดีเพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุน คุณยอดเปิดเผยว่า 96% ของร้านอาหารในระบบเป็นบุคคลธรรมดา ทำให้ขาดข้อมูลทางการเงินที่เป็นระบบและน่าเชื่อถือ ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินและฟินเทค 

และประการสุดท้ายคือ การเรียกร้องความช่วยเหลือจากภาครัฐ อย่างตรงจุด ผ่านโมเดลพีระมิดที่เสนอให้ร้านใหญ่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ร้านกลางได้รับประโยชน์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบ Co-payment และร้านเล็กได้รับการสนับสนุนด้านเครื่องมือเทคโนโลยีเพื่อทำมาหากิน

โลกที่ ‘กลายพันธุ์’: กฎกติกาใหม่ที่ธุรกิจต้องเผชิญ

ในขณะที่คุณยอดกำลังให้ภาพวิกฤติในระดับจุลภาค คุณจิรายุสได้ขยายมุมมองสู่ระดับมหภาค โดยสรุปอินไซต์จากการประชุม World Economic Forum ที่ดาวอสว่า โลกกำลังเกิดการ “กลายพันธุ์” จากระเบียบโลกเก่า (Post-World Order) ที่เราคุ้นเคย สู่โลกก่อนระเบียบใหม่ (Pre-Something World) ที่ทุกอย่างกลับตาลปัตร จากยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization) กลายเป็นยุคภูมิภาคนิยม (Regionalization) จากระบบขั้วอำนาจเดียว (Unilateral System) ที่นำโดยสหรัฐฯ กลายเป็นระบบหลายขั้วอำนาจ (Multilateral System) ที่จีนก้าวขึ้นมาท้าทาย ห่วงโซ่อุปทานโลกที่เคยรวมศูนย์ (Centralized Supply Chain) ก็กลับกลายเป็นการกระจายตัว (Fragmented Supply Chain) และความเชื่อมั่นในสถาบันกลางอย่าง UN หรือ IMF ก็ลดน้อยถอยลงอย่างเห็นได้ชัด 

การเปลี่ยนแปลงนี้ยังนำมาซึ่งกฎกติกาการแข่งขันใหม่ ที่ไม่ได้วัดกันแค่ “ถูกที่สุด ดีที่สุด” แต่ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม คือ “เขียวที่สุด” และภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่ซับซ้อนขึ้น โดยคุณจิรายุสได้ยกตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่แม้จะดูเหมือนแยกตัวออกจากกันในทางเทคโนโลยี แต่ในภาคธุรกิจดั้งเดิมกลับเกิดปรากฏการณ์ “การค้าทางอ้อม” (Indirect Trade) เพิ่มขึ้นมหาศาล เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีและแรงกดดันทางการเมือง

AI Plus: ยุทธศาสตร์พลิกโลกและคลื่นแห่งปัญญาประดิษฐ์

หัวใจสำคัญที่สุดของการเปลี่ยนแปลงในยุคนี้คือ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) คุณจิรายุสย้ำว่า “AI, AI, AI” คือสิ่งที่ถูกกล่าวถึงในทุกเวที และจีนกำลังเดินหน้ายุทธศาสตร์ “AI Plus” อย่างเต็มกำลัง เพื่อบังคับให้ทุกอุตสาหกรรมใช้ AI เป็นระบบปฏิบัติการ โดยอาศัย 3 เสาหลักคือ 1) การใช้ AI แบบ Open-source อย่าง DeepSeek ที่ทุกคนนำไปต่อยอดได้ 2) การใช้ Huawei เป็นผู้ให้บริการพลังการประมวลผลมหาศาลตามคำสั่งรัฐ และ 3) การสั่งให้ทุกภาคส่วนเปิดข้อมูลเพื่อสร้างเป็นฐานข้อมูลกลางขนาดใหญ่ ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การเพิ่มผลิตภาพของประเทศอย่างก้าวกระโดดและน่ากลัว

ปรับตัวหรือถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

เมื่อมองกลับมาที่ภาคธุรกิจไทย คุณจิรายุสและคุณยอดเห็นตรงกันว่า องค์กรต้องปรับตัวเป็น “AI-First Company” และอาจต้องทบทวนนโยบายการจ้างงานเสียใหม่ โดยการหยุดรับคนเพิ่มหรือลดจำนวนพนักงานอาจไม่ใช่ข่าวร้าย แต่เป็นสัญญาณของการมีผลิตภาพที่สูงขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับคนทำงาน 

คุณจิรายุสได้ให้คำแนะนำที่ชัดเจนว่า “คนที่จะตกงานคือคนที่ไม่ใช้ AI” เปรียบได้กับคนใช้เครื่องพิมพ์ดีดในยุคคอมพิวเตอร์ งานอาจไม่ได้หายไปทั้งหมดแต่จะเปลี่ยนรูปแบบไป เช่น พนักงาน 1 คน อาจดูแลรถยนต์ไร้คนขับได้ถึง 5 คัน แต่คน ๆ นั้นต้องมีทักษะในการควบคุม AI ดังนั้น การเริ่มต้นฝึกใช้ AI ให้กลายเป็นผู้ช่วยในชีวิตประจำวัน เฉกเช่นการมี “เด็กฝึกงานจาก MIT ในราคา 650 บาทต่อเดือน” จึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน เพื่อสร้างความคุ้นเคยและนำไปสู่การประยุกต์ใช้ในการทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ

คลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและระเบียบโลกได้ซัดเข้ามาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว การปรับตัวอย่างลึกซึ้งและทันท่วงที โดยมี AI เป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อน ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นเงื่อนไขเดียวของการอยู่รอดสำหรับทั้งภาคธุรกิจและแรงงานไทยในยุคสมัยที่ผันผวนและไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

×

Share

ผู้เขียน