Share on
×

Share

ไทยใช้พลังจัดซื้อสีเขียว สู่ Net Zero ท่ามกลางวิกฤติสิ่งแวดล้อมรุนแรง

ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษ และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมต่อชีวิตความเป็นอยู่และเศรษฐกิจของประเทศ กระตุ้นให้เกิดความพยายามครั้งสำคัญในการผลักดันนโยบายเพื่อความยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำ “การจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” (Green Public Procurement: GPP) มาใช้เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ 

GPP ไม่ได้เป็นเพียงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมเฉพาะกลุ่มอีกต่อไป แต่ได้ถูกยกระดับขึ้นเป็นวาระสำคัญระดับชาติ ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2065 (พ.ศ. 2608) 

ดร.วิจารย์ มาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยและเลขาธิการองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน กล่าวว่า สถานการณ์สิ่งแวดล้อมของไทยและของโลกกำลังเผชิญกับ 3 วิกฤติการณ์ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Loss) และปัญหามลพิษ (Pollution)

ผลกระทบเกิดขึ้นแล้วและชัดเจนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เช่น เหตุการณ์น้ำท่วมรุนแรงในพื้นที่เชียงรายและเชียงใหม่ ซึ่งไม่ได้มาแค่น้ำแต่ยังพัดพาตะกอนและสารพิษมาด้วย แม้ประเทศไทยจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสัดส่วนเพียง 0.88% ของโลก (ประมาณ 372 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) และอยู่ในอันดับที่ 20 ของโลก แต่กลับถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงเป็นอันดับต้นๆ (เดิมอันดับ 9 ปัจจุบันอาจเป็นอันดับ 20) 

อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปีที่ผ่านมาสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมแล้ว ถือเป็นสัญญาณอันตรายต่อทุกชีวิต และตอกย้ำความเปราะบางของไทยต่อวิกฤตินี้ ความจริงที่ว่าไทยมีความเสี่ยงสูงแม้จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อย สร้างความจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศต้องลงมือทำ ทั้งในด้านการลดการปล่อยก๊าซฯ และการปรับตัวเพื่อรับมือผลกระทบ โดยไม่สามารถรอการดำเนินการจากประเทศผู้ปล่อยรายใหญ่อื่นๆ ได้

ภาวะโลกร้อนส่งผลโดยตรงต่อระบบนิเวศและความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต พืชและสัตว์หลายชนิดกำลังสูญพันธุ์ ในขณะที่บางชนิดที่ไม่ต้องการกลับรุกราน เช่น ปลาหมอคางดำ ที่อาจกลายเป็นสัตว์น้ำชนิดหลักในแหล่งอาหารของไทยหากไม่มีการจัดการที่ดี การสูญเสียนี้ไม่เพียงกระทบต่อระบบนิเวศ แต่ยังส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจฐานชีวภาพ

ปัญหา PM 2.5 กลายเป็นวาระแห่งชาติ ควบคู่ไปกับปัญหามลพิษข้ามพรมแดนและขยะประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ไมโครพลาสติก” ที่ปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อมและห่วงโซ่อาหาร มีการตรวจพบไมโครพลาสติกประมาณ 78 ชิ้นในปลาทูไทย 1 ตัว และมีความเป็นไปได้สูงที่จะพบในกระแสเลือดของมนุษย์ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาสะสมจากพลาสติกที่ใช้แล้วทิ้งเมื่อหลายสิบปีก่อน ปัญหาเหล่านี้เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน มลพิษจากกิจกรรมการผลิตและการบริโภคที่ไม่ยั่งยืน ไม่เพียงทำลายสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ แต่ยังเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและคุกคามความหลากหลายทางชีวภาพ การมองปัญหาแบบองค์รวมจึงจำเป็นอย่างยิ่ง และนำไปสู่การแสวงหาทางออกที่ครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ เช่น GPP

วางเข็มทิศ เป้าหมายแห่งชาติเพื่อความยั่งยืน

ท่ามกลางความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศที่ทั่วโลกเผชิญ ประเทศไทยได้กำหนดทิศทางและพันธกรณีระหว่างประเทศอย่างชัดเจนเพื่อมุ่งหน้าสู่ความยั่งยืน โดยได้วางหมุดหมายสำคัญในระยะต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายดังกล่าว

ในระยะยาว ประเทศไทยตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emission) ภายในปี ค.ศ. 2065 (พ.ศ. 2608) ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ท้าทายและต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน สำหรับเป้าหมายระยะกลาง ได้กำหนดให้บรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593) โดยมุ่งเน้นการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งมีแหล่งกำเนิดหลักมาจากภาคพลังงาน

ภายใต้ความตกลงปารีส ประเทศไทยได้กำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกในระยะสั้น (Nationally Determined Contribution: NDC) เดิมไว้ที่ร้อยละ 20-25 ภายในปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573) อย่างไรก็ตาม จากการประเมินสถานการณ์ล่าสุดพบว่าเป้าหมายดังกล่าวอาจไม่เพียงพอที่จะช่วยควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ตามเป้าหมายสากล ซึ่งเป้าหมายเดิมอาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิถึง 2.4 องศาเซลเซียส ด้วยเหตุนี้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องยกระดับเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกให้สูงขึ้นเป็นร้อยละ 40 หรืออาจถึงร้อยละ 43 การตระหนักถึงความจำเป็นในการเพิ่มความเข้มข้นของเป้าหมายนี้ ได้กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ต้องนำนโยบายที่มีประสิทธิภาพมาปรับใช้อย่างจริงจัง เช่น นโยบายการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Public Procurement: GPP) เพื่อช่วยลดช่องว่างระหว่างเป้าหมายที่ตั้งไว้กับความเป็นจริง

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้ให้คำมั่นต่อวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 (Agenda 2030) ของสหประชาชาติ โดยเฉพาะเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเป้าหมายที่ 12 ว่าด้วยการสร้างหลักประกันให้มีรูปแบบการบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน (Sustainable Consumption and Production) ซึ่งมีเป้าหมายย่อยที่ 12.7 ระบุถึงการส่งเสริมแนวปฏิบัติด้านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่ยั่งยืนโดยตรง การเชื่อมโยงนโยบาย GPP เข้ากับเป้าหมาย SDG 12.7 จึงไม่เพียงทำให้ GPP เป็นนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการบรรลุพันธกรณีด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปต่างๆ ของประเทศ

อย่างไรก็ตาม เส้นทางสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์นั้นเต็มไปด้วยความท้าทาย ปัจจุบันประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 372 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และคาดการณ์ว่าจะถึงจุดสูงสุดที่ประมาณ 388 ล้านตันในอีก 2 ปีข้างหน้า จากนั้นจะต้องลดการปล่อยลงให้เหลือ 120 ล้านตันภายในปี พ.ศ. 2580 (ค.ศ. 2037) ซึ่งเป็นปีที่ตามยุทธศาสตร์ชาติได้ตั้งเป้าหมายให้มีพื้นที่สีเขียวทั่วประเทศร้อยละ 55 โดยพื้นที่สีเขียวเหล่านี้คาดว่าจะสามารถช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 120 ล้านตัน ทำให้การปล่อยสุทธิเป็นศูนย์ (120 ล้านตันที่ปล่อย ลบด้วย 120 ล้านตันที่ดูดซับ) แม้ตัวเลขจะดูสอดคล้องกัน แต่การลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจาก 388 ล้านตันให้เหลือ 120 ล้านตันนั้น เป็นภารกิจที่ต้องอาศัยความพยายามอย่างมหาศาลและการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ในทุกภาคส่วนของประเทศ

พลังเงินหลวง การจัดซื้อจัดจ้างสีเขียวกลไกขับเคลื่อนสำคัญ

การใช้ “พลังการจัดซื้อ” ของภาครัฐ ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลต่อปี นับเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน แม้ปัจจุบันการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะยังอยู่ในวงจำกัด แต่กลไกใหม่ๆ กำลังถูกผลักดันเพื่อปลดล็อกศักยภาพนี้อย่างเต็มที่

ศักยภาพของเงินหลวงในการสร้างการเปลี่ยนแปลงนั้นมีนัยสำคัญ โดยคิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 7 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างฯ และอาจสูงถึงร้อยละ 10 หากรวมการจัดซื้อนอก พ.ร.บ.ฯ เช่น โครงการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) หรือเงินนอกงบประมาณ ซึ่งคิดเป็นเม็ดเงินหลายแสนล้านบาทต่อปีที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือทรงพลังในการสร้าง “ตลาดสีเขียว” และปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตและการบริโภคของประเทศ 

อย่างไรก็ตาม วุทธิชัย แก้วกระจ่าง ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการวิเคราะห์มลพิษและสิ่งแวดล้อมกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ชี้ว่า ปัจจุบันมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของหน่วยงานภาครัฐที่รายงานเข้ามายังอยู่ที่ประมาณ 800 กว่าล้านบาท และเพียงหลักสิบล้านบาทสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับศักยภาพทั้งหมด ช่องว่างขนาดใหญ่นี้จึงเป็นเป้าหมายหลักที่กรอบการดำเนินงานการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (GPP) ฉบับใหม่ของกรมบัญชีกลางต้องการจะเข้ามาเติมเต็ม

กลไกหลักที่ใช้ในการขับเคลื่อน GPP คือ “ฉลากสิ่งแวดล้อม” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ฉลากเขียว” (Green Label) ซึ่งบริหารจัดการโดยสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (สสท.) ฉลากเขียวจัดเป็นฉลากประเภทที่ 1 (Type 1 Eco-label) อันหมายถึงการรับรองโดยหน่วยงานอิสระ มีเกณฑ์พิจารณาครอบคลุมหลายมิติ และที่สำคัญคืออิงตามหลักการ “การประเมินวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์” (Life Cycle Assessment: LCA) ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ กระบวนการผลิตในโรงงานที่ต้องได้มาตรฐานและดูแลสิ่งแวดล้อม การใช้งาน ไปจนถึงการจัดการซากผลิตภัณฑ์เมื่อหมดอายุ โดยคำนึงถึงการลดภาระของภาครัฐในการจัดการของเสีย และส่งเสริมหลักการความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility: EPR)

หน่วยงานภาครัฐหลายแห่งมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนระบบ GPP โดยสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (สสท.) ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานให้การรับรองฉลากเขียว พัฒนาเกณฑ์สำหรับสินค้าและบริการต่างๆ จัดฝึกอบรมให้ทั้งหน่วยงานในประเทศและต่างประเทศ เช่น ภูฏาน ลาว และกัมพูชา นอกจากนี้ สสท. ยังมีความร่วมมือกับเครือข่ายฉลากสิ่งแวดล้อมสากล (Global Ecolabelling Network: GEN) และมีการทำข้อตกลงยอมรับร่วม (MOU/MRA) กับประเทศต่างๆ อาทิ เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการขอการรับรอง

ขณะที่กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รับหน้าที่จัดทำแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริม GPP ของภาครัฐ และดูแล “บัญชีรายชื่อสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” ซึ่งรวบรวมสินค้าและบริการที่ได้รับการรับรองจากฉลากต่างๆ เช่น ฉลากเขียว ตะกร้าเขียว ฉลากลดคาร์บอน และโรงแรมใบไม้เขียว โดยข้อมูล ณ เดือนเมษายน 2568 (ค.ศ. 2025) ระบุว่ามีสินค้าในบัญชีกว่า 39 ประเภทหลัก 142 ประเภทย่อย รวมกว่า 1,400 รายการ นอกจากนี้ คพ. ยังพัฒนาระบบฐานข้อมูลการรายงานผล GPP โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) และประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกรมบัญชีกลางและ สสท.

ท้ายที่สุด ความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพของระบบ GPP ทั้งหมด ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของระบบฉลากสิ่งแวดล้อมอย่างฉลากเขียว ซึ่งจำเป็นต้องมีมาตรฐานสูง อ้างอิงหลักการทางวิทยาศาสตร์ และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้จัดซื้อภาครัฐและป้องกันปัญหาการฟอกเขียว (Greenwashing) อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

จากนโยบายสู่การปฏิบัติ กรมบัญชีกลางนำทัพบังคับใช้ GPP

กรมบัญชีกลาง (กบก.) ได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทนำอย่างเต็มตัวในการขับเคลื่อนการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (GPP) ของภาครัฐ โดยเตรียมผลักดัน “กรอบการดำเนินงาน GPP” ฉบับใหม่ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจากระดับนโยบายสู่การบังคับใช้ในทางปฏิบัติ ภายใต้การนำของอธิบดีที่แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนในการผลักดันเรื่องนี้ให้เป็นวาระสำคัญ

แพตริเซีย มงคลวนิช อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าวว่าการดำเนินงานของกบก. ภายใต้กรอบ “Double C Double G Double D” ซึ่งประกอบด้วย Customer Centric (ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง) Collaboration (การร่วมมือ) Good Governance (ธรรมาภิบาล) Green (สิ่งแวดล้อม) Digital (ดิจิทัล) และ Data-driven (ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล) โดยตัว “G-Green” ถือเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อน GPP

ขณะนี้ กบก. กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา “กรอบการดำเนินงานการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของหน่วยงานภาครัฐ” ฉบับใหม่ โดยได้ศึกษาแนวทางการดำเนินงานจากประเทศที่ประสบความสำเร็จในการขับเคลื่อน GPP เช่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ เพื่อนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย กรอบการดำเนินงานดังกล่าวจะมีองค์ประกอบสำคัญหลายด้าน เริ่มตั้งแต่การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนซึ่งเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) 

นอกจากนี้ จะมีการกำหนดรายการสินค้าและบริการเป้าหมาย ทั้งประเภทสินค้า บริการ และวัสดุก่อสร้างที่จะอยู่ในข่าย GPP โดยจะเริ่มจากรายการสินค้าที่มีอยู่ในตลาดและมีราคาที่สามารถแข่งขันได้ พร้อมทั้งระบุผู้เล่นที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดหน่วยงานที่ต้องปฏิบัติตาม (บังคับ) และหน่วยงานนำร่อง ซึ่งรวมถึงกบก.เองและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)

ในส่วนของแนวทางการจัดซื้อจัดจ้าง จะมีการกำหนดวิธีการและขั้นตอนที่ชัดเจน โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเอื้อให้สามารถจัดซื้อโดยวิธีเฉพาะเจาะจงหรือวิธีคัดเลือกสำหรับสินค้าและบริการสีเขียวได้ อย่างไรก็ตาม ส่วนที่ท้าทายที่สุดคือการติดตามและประเมินผล (M&E) ซึ่งกบก.กำลังแสวงหาเครื่องมือและแนวทางในการรวบรวมข้อมูลและวัดผลกระทบ เช่น การลด Carbon Footprint อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาจพิจารณาร่วมมือกับหน่วยงานอื่น เช่น ธนาคารโลก (World Bank) หรือภาคเอกชน เพื่อพัฒนาระบบนี้

กบก. ตั้งเป้าที่จะเสนอ กรอบการดำเนินงาน GPP ฉบับใหม่นี้ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบภายในปีงบประมาณปัจจุบัน (พ.ศ. 2568) และจะเริ่มบังคับใช้ในปีงบประมาณหน้า (พ.ศ. 2569) โดยจะเป็นการดำเนินการแบบ “บังคับใช้เป็นระยะ” (Phased Mandatory Rollout) ในช่วง 3 ปีแรก เพื่อให้ตลาดและหน่วยงานภาครัฐสามารถปรับตัวได้ทัน แนวทางการบังคับใช้แบบค่อยเป็นค่อยไปนี้ สะท้อนถึงการวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่ต้องการสร้างความสมดุลระหว่างเป้าหมายที่ท้าทายกับความเป็นไปได้ในการปฏิบัติจริง โดยจะเริ่มจากสินค้าที่มีความพร้อมในตลาดและหน่วยงานที่มีความมุ่งมั่น ก่อนจะขยายผลในวงกว้างต่อไป อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของแผนการขับเคลื่อน GPP อย่างเป็นรูปธรรมนี้ ขึ้นอยู่กับการพัฒนาระบบติดตามและประเมินผล (M&E) ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ที่กบก.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งหาคำตอบ เพื่อให้สามารถวัดผลความสำเร็จในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างความรับผิดชอบในการดำเนินงานได้อย่างแท้จริง

ความท้าทายและแนวทางแก้ไขในการขับเคลื่อน GPP สู่ความยั่งยืน

แม้ว่าความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (GPP) ของไทยจะชัดเจนขึ้น พร้อมกรอบการดำเนินงานใหม่ที่กำลังเป็นรูปเป็นร่าง แต่เส้นทางสู่การปฏิบัติจริงยังคงเผชิญกับอุปสรรคและความท้าทายหลายมิติ ซึ่งทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกำลังพยายามหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน

หนึ่งในความท้าทายสำคัญคือปัญหา “ไก่กับไข่” ด้านต้นทุนและความพร้อมของสินค้า โดยผู้ซื้อภาครัฐอาจลังเลหากสินค้าสีเขียวมีราคาสูงกว่าหรือมีจำนวนไม่เพียงพอต่อความต้องการ ขณะที่ผู้ผลิตก็ไม่กล้าลงทุนหากไม่มีตลาดรองรับที่แน่นอน แผนการบังคับใช้ GPP ของกรมบัญชีกลาง (กบก.) จึงมีเป้าหมายเพื่อทลายวงจรนี้ ด้วยการสร้างอุปสงค์ที่ชัดเจนจากภาครัฐเพื่อกระตุ้นให้เกิดอุปทานในตลาด ทั้งนี้ แม้มีความเชื่อว่าสินค้าสีเขียวมักมีราคาแพง แต่ในความเป็นจริง สินค้าบางประเภทสามารถแข่งขันด้านราคาได้ และในระยะยาว การลงทุนในสินค้าสีเขียวอาจช่วยลดต้นทุนโดยรวมของประเทศได้

ภาระในการขอการรับรองมาตรฐาน โดยเฉพาะ “ฉลากเขียว” ก็เป็นอีกอุปสรรคสำหรับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เนื่องจากกระบวนการอาจซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง แนวทางแก้ไขจึงมุ่งไปที่การพัฒนาระบบที่เข้าถึงง่ายขึ้น เช่น “ตะกร้าเขียว” ของกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ซึ่งเปรียบเสมือนบันไดขั้นแรก การทำข้อตกลงยอมรับร่วม (MOU/MRA) กับต่างประเทศเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการตรวจรับรอง และการพิจารณายอมรับฉลากหรือมาตรฐานสากลที่น่าเชื่อถือโดยอัตโนมัติ ซึ่ง กบก. ได้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นหารือแล้วเพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้าในบัญชี GPP ควบคู่กันนี้ ความเสี่ยงจากการ “ฟอกเขียว” (Greenwashing) หรือการกล่าวอ้างคุณสมบัติด้านสิ่งแวดล้อมเกินจริงหรือเป็นเท็จ จำเป็นต้องมีกลไกป้องกันที่เข้มแข็ง เช่น ระบบการรับรองที่โปร่งใส เกณฑ์ที่ชัดเจน และการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของ GPP

ภายในหน่วยงานภาครัฐเอง เจ้าหน้าที่จัดซื้อบางรายอาจมีความกังวลว่าจะทำผิดระเบียบหรือถูกตรวจสอบหากเลือกซื้อสินค้าสีเขียวที่ราคาสูงกว่าเล็กน้อย หรือมีขั้นตอนที่แตกต่างไปจากเดิม ดังนั้น การสร้างความชัดเจนในแนวปฏิบัติ การสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงอย่างกบก. และการปรับมุมมองของหน่วยงานตรวจสอบให้สอดรับกับนโยบาย GPP จึงเป็นสิ่งจำเป็น 

นอกจากนี้ ความพยายามของกบก. ในการลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น (“ลด ละ เลิก”) จะช่วยลดแรงเสียดทานในระบบได้ ซึ่งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในเวทีสัมมนาต่างเห็นพ้องว่า การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างกบก., คพ., สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (สสท.), ภาคอุตสาหกรรม เช่น สภาอุตสาหกรรมฯ และบริษัทชั้นนำอย่าง SCG และ PTT รวมถึงพันธมิตรระหว่างประเทศ เช่น GIZ และ UNIDO คือกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนนี้ เนื่องจากเกินกว่าที่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งจะแก้ไขได้เพียงลำพัง

การที่กรมบัญชีกลางก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการผลักดัน GPP อย่างจริงจัง ถือเป็นก้าวย่างสำคัญที่สร้างความหวังในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมาย Net Zero และการพัฒนาที่ยั่งยืน กรอบการดำเนินงานใหม่พร้อมแผนการบังคับใช้เป็นระยะเป็นจุดเริ่มต้นที่มีทิศทางชัดเจน แต่ความสำเร็จที่แท้จริงจะวัดกันที่การนำไปปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

เส้นทางข้างหน้ายังคงเต็มไปด้วยความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นความเฉื่อยชาในระบบราชการ การพัฒนาระบบติดตามประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ การสร้างสมดุลระหว่างมาตรฐานที่เข้มงวดกับการเข้าถึงของผู้ประกอบการ และการป้องกันปัญหา Greenwashing ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องการความมุ่งมั่นทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง การทำงานร่วมกันอย่างแข็งขันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคในวงกว้าง

GPP นับเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่ทรงพลัง แต่ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะแก้ไขทุกปัญหา การบรรลุเป้าหมาย Net Zero ยังต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงในภาคส่วนอื่นๆ ควบคู่กันไป ทั้งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด การปรับปรุงกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม การปฏิรูประบบจัดการขยะ เช่น การนำหลักความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิต (EPR) มาใช้กับบรรจุภัณฑ์พลาสติก และการเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อดูดซับคาร์บอน อย่างไรก็ตาม การที่ภาครัฐใช้ “พลังเงินหลวง” อย่างมีกลยุทธ์ผ่าน GPP จะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำคัญที่ส่งสัญญาณชัดเจนไปยังตลาดและสังคม ว่าประเทศไทยกำลังเดินหน้าอย่างจริงจังสู่การเป็น “ภาครัฐสีเขียว” และอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน

×

Share

ผู้เขียน