Share on
×

Share

Mobility Data ถอดรหัสการเดินทาง สู่การกระจายรายได้และโอกาสที่ยั่งยืน

ภาคการท่องเที่ยวเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไทยมาอย่างยาวนาน สร้างรายได้มหาศาลและขับเคลื่อน GDP ของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้กลับมาพร้อมกับความท้าทายที่เพิ่มสูงขึ้น ปรากฏการณ์ “Overtourism” หรือภาวะนักท่องเที่ยวล้นเมือง ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเมืองท่องเที่ยวหลัก เช่น กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต และเชียงใหม่ สถานการณ์นี้นำมาซึ่งปัญหาหลากหลายมิติ ตั้งแต่ความแออัดยัดเยียด การเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การรบกวนวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น ไปจนถึงความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่อาจลดลง และการเปลี่ยนแปลงของมรดกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม   

ยิ่งไปกว่านั้น โครงสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวยังประสบปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจน ข้อมูลชี้ว่ารายได้กว่า 80% กระจุกตัวอยู่ใน “เมืองหลัก” เพียง 22 จังหวัด ซึ่งรวมถึงกรุงเทพฯ และปริมณฑล และจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวมากกว่า 6 ล้านคนต่อปี ขณะที่ “เมืองรอง” อีก 55 จังหวัด ซึ่งโดยทั่วไปนิยามว่ามีนักท่องเที่ยวต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด เช่น 4 หรือ 6 ล้านคนต่อปี ได้รับส่วนแบ่งเพียง 20% เท่านั้น ความไม่สมดุลนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากโครงสร้างพื้นฐาน การตลาด และข้อจำกัดด้านการเดินทางในเมืองรองที่ยังไม่เอื้ออำนวยเท่าที่ควร ประกอบกับแนวโน้มที่น่ากังวลของการลดลงของนักท่องเที่ยวกลุ่ม “Repeater” หรือผู้ที่เดินทางกลับมาซ้ำ และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ ในภูมิภาค เช่น เวียดนามและไต้หวัน สถานการณ์เหล่านี้ส่งสัญญาณว่ารูปแบบการท่องเที่ยวแบบเดิมของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายและจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่  

ปัญหาสำคัญประการหนึ่งคือ แนวทางการวางแผนและกำหนดนโยบายการท่องเที่ยวแบบดั้งเดิมมักพึ่งพาข้อมูลที่ล่าช้า เช่น ข้อมูลรายเดือนที่ต้องรอถึง 3 เดือนจึงจะเผยแพร่ หรืออาศัยข้อสันนิษฐานกว้าง ๆ และความคิดเห็นของผู้มีอำนาจ มากกว่าจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลเชิงประจักษ์เกี่ยวกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่แท้จริง นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองที่ผ่านมามักเป็นแบบ “One-Size-Fits-All” หรือใช้แนวทางเดียวกันทั้งหมด ซึ่งไม่สามารถตอบสนองต่อลักษณะเฉพาะและศักยภาพที่แตกต่างกันของแต่ละพื้นที่ได้ วิธีการเหล่านี้จึงไม่เพียงพอที่จะทำความเข้าใจพลวัตที่ซับซ้อนของการเดินทางท่องเที่ยวในระดับจุลภาค ไม่ว่าจะเป็นกระแสการเคลื่อนที่ของนักท่องเที่ยว รูปแบบการใช้เวลา หรือศักยภาพที่แท้จริงของเมืองรองแต่ละแห่ง ส่งผลให้การแก้ไขปัญหา Overtourism และการกระจายรายได้ยังไม่เกิดประสิทธิภาพเท่าที่ควร ความจำเป็นในการแสวงหาแนวทางใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจึงทวีความสำคัญยิ่งขึ้น

บทความนี้จึงมุ่งนำเสนอความจำเป็นในการปฏิรูปสู่การวางแผนและบริหารจัดการการท่องเที่ยวด้วยข้อมูล (Data-Driven Tourism) เพื่อรับมือกับความท้าทาย สร้างความสมดุล และขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

จากโจทย์เมืองสู่ Social Design Lab

จุดเริ่มต้นของการแสวงหาแนวทางใหม่นี้ไม่ได้มาจากภาคการท่องเที่ยวโดยตรง แต่มาจากมุมมองของนักวิชาการด้านการพัฒนาเมือง ผู้ซึ่งได้สั่งสมประสบการณ์และแรงบันดาลใจจากการศึกษาในประเทศญี่ปุ่น ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าถึงข้อสังเกตสำคัญจากการทำงานด้านการพัฒนาเมืองหลังกลับจากญี่ปุ่นว่า ประเทศไทยมักมุ่งแก้ปัญหาที่ “ปลายทาง” โดยขาดความเข้าใจในข้อเท็จจริงหรือรากเหง้าของปัญหาอย่างถ่องแท้ การตัดสินใจมักขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของผู้มีอำนาจหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มากกว่าจะอิงตามข้อมูลและหลักการที่ชัดเจน

ประสบการณ์ในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1998 ซึ่งเป็นปีที่ญี่ปุ่นประกาศเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบ ได้สร้างความตระหนักถึงผลกระทบอันใหญ่หลวงของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อพื้นที่นอกเมืองใหญ่ ภาวะ “ทศวรรษที่หายไป” (Lost Decades) ของญี่ปุ่นส่วนหนึ่งมีรากฐานมาจากการจัดการรายได้และการกระจายโอกาสไปสู่ท้องถิ่นที่ไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อกลับมายังประเทศไทย ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ สังเกตเห็นสัญญาณคล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็นการถกเถียงเรื่องการยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กในชนบทเนื่องจากจำนวนนักเรียนลดลง ปรากฏการณ์การเสียชีวิตตามลำพังของผู้สูงอายุในชนบท หรือปัญหาการเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่ไม่เท่าเทียม ซึ่งล้วนสะท้อนภาพปัญหาที่เคยเห็นในญี่ปุ่น

ความตระหนักนี้ นำไปสู่การเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการมุ่งเน้นที่การออกแบบอาคารหรือโครงสร้างพื้นฐาน ไปสู่การแก้ปัญหาที่ “ต้นน้ำ” นั่นคือ การตั้งคำถามที่ถูกต้อง การกำหนดแนวคิด และการวางกระบวนการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพก่อนลงมือพัฒนา แนวคิดนี้เป็นหัวใจสำคัญของการก่อตั้ง “Social Design Lab” (SDL) ขึ้นที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ราวปี พ.ศ. 2562 โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นห้องปฏิบัติการทางสังคมที่ใช้องค์ความรู้ด้านการออกแบบมาวางแผนกระบวนการแก้ไขปัญหาและนำไปสู่การปฏิบัติจริง ภารกิจของ SDL ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่เป็นการสร้างกรอบการทำงานเพื่อทำความเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้งตั้งแต่จุดเริ่มต้น   

แม้ว่าแรงผลักดันแรกเริ่มจะมาจากความกังวลในประเด็นทางสังคมและเศรษฐกิจในภาพรวมที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาเมืองและโครงสร้างประชากร แต่ “การท่องเที่ยว” ได้กลายเป็นเวทีสำคัญในการนำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้ การระบาดของโควิด-19 ในช่วงปี 2563 ได้เผยให้เห็นความเปราะบางของภาคการท่องเที่ยวไทยอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้เกิดความสนใจในการท่องเที่ยวภายในประเทศและการฟื้นฟูเมืองรองมากขึ้น ปรากฏการณ์ “U-Turn” หรือคนหนุ่มสาวที่เคยไปเรียนหรือทำงานในเมืองใหญ่เดินทางกลับภูมิลำเนา ซึ่งเริ่มเห็นมาตั้งแต่ปี 2562 กลายเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสใหม่ จังหวะเวลานี้เองที่แนวคิดการใช้ข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจและส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองได้เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นการบรรจบกันของความห่วงใยในปัญหาสังคมเชิงโครงสร้าง กับโอกาสที่เกิดจากเทคโนโลยีข้อมูลและการเปลี่ยนแปลงฉับพลันในภาคการท่องเที่ยว

ปฏิวัติด้วยข้อมูล: ไขความลับการท่องเที่ยวด้วย Mobility Data

ข้อมูลเปรียบเสมือน “น้ำมันชนิดใหม่” (New Oil) ที่ไม่เพียงสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่ยังสามารถสร้างโอกาสในการแก้ไขปัญหาสังคมได้ด้วย โดยยกตัวอย่างการใช้ข้อมูลเพื่อแก้ปัญหามาลาเรียในเอเชียใต้ การอพยพผู้คนจากภัยพิบัติ การจัดการจราจร หรือแม้กระทั่งการส่งเสริมการท่องเที่ยวในยุโรป

การเปลี่ยนผ่านสู่แนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมตั้งต้นที่ว่า Mobility Data หรือข้อมูลการเคลื่อนที่ของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ (ซึ่งผ่านกระบวนการทำให้ไม่สามารถระบุตัวตนได้) จะสามารถนำมาช่วยแก้ไขปัญหาอะไรในบริบทของประเทศไทยได้บ้าง

ด้วยความสนใจร่วมกันในประเด็นการท่องเที่ยว และการตระหนักถึงช่องว่างของข้อมูลที่มีอยู่เดิม โจทย์จึงแคบลงมาที่การนำ Mobility Data มาใช้เพื่อวางแผนและฟื้นฟูการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเมืองรอง ในช่วงที่ประเทศกำลังเตรียมเปิดรับการท่องเที่ยวอีกครั้งหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง (ราวปี 2564-2565)

โครงการนำร่องภายใต้ชื่อ “Untap the Untapped” ได้เผยให้เห็นศักยภาพอันน่าทึ่งของ Mobility Data ในการให้ข้อมูลเชิงลึกที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับวิธีการสำรวจหรือเก็บสถิติแบบเดิม ๆ ที่มักล่าช้าและขาดรายละเอียด ข้อมูลจาก Mobility Data สามารถเปิดเผยมิติสำคัญ 4 ประการ ได้แก่

การกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวในระดับละเอียด สามารถระบุตำแหน่งและความหนาแน่นของนักท่องเที่ยวได้ลึกกว่าระดับจังหวัด ลงไปถึงระดับอำเภอ ตำบล หรือแม้กระทั่งระดับกริด (Grid) ซึ่งเป็นรายละเอียดที่ไม่เคยมีมาก่อนในการวางแผนการท่องเที่ยวไทย  

รูปแบบการใช้เวลาที่แท้จริง สามารถเห็นความเคลื่อนไหวของนักท่องเที่ยวในแต่ละช่วงเวลาของวัน (เช่น ทุก 4 ชั่วโมง) ทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งข้อมูลการท่องเที่ยวกลางคืนเป็นสิ่งที่ขาดหายไปโดยสิ้นเชิงในระบบข้อมูลแบบเดิม

รูปแบบการเดินทางที่เกิดขึ้นจริง สามารถติดตามเส้นทางการเดินทาง เชื่อมโยงจุดหมายต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวไปเยือน ทำให้แยกแยะระหว่างการเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับ (Day Trip) กับการพักค้างคืน (Overnight Stay) ได้อย่างชัดเจน และมองเห็น “คลัสเตอร์” หรือกลุ่มของแหล่งท่องเที่ยวที่มักถูกเยี่ยมชมต่อเนื่องกัน  

ข้อมูลประชากรและถิ่นที่อยู่ของนักท่องเที่ยว สามารถจำแนกกลุ่มนักท่องเที่ยวตามช่วงวัยและภูมิลำเนาได้ ทำให้เข้าใจว่าคนจากพื้นที่ใดนิยมเดินทางไปเที่ยวที่ไหน ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการตลาดและการพัฒนาที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย

อย่างไรก็ตาม การทำงานกับข้อมูลรูปแบบใหม่นี้ก็เต็มไปด้วยความท้าทายในช่วงแรก หนึ่งในนั้นคือการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) อย่างเคร่งครัด ซึ่งกำหนดให้การเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลต้องได้รับความยินยอม มีการแจ้งวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน และต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม แม้รายละเอียดเชิงเทคนิคเกี่ยวกับกระบวนการทำให้ข้อมูลไม่ระบุตัวตน (Anonymization) และการรวมกลุ่มข้อมูล (Aggregation) ของผู้ให้บริการอาจไม่เปิดเผยต่อสาธารณะทั้งหมด แต่โครงการนี้ดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมาย PDPA อย่างเข้มงวด   

นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายในเชิงเทคนิคและความเข้าใจ เนื่องจากข้อมูล Mobility Data เปรียบเสมือน “กล่องดำ” (Black Box) ในช่วงแรก ทั้งฝั่งนักวิจัยและฝั่งผู้ให้บริการข้อมูลต่างต้องเรียนรู้ศักยภาพ ข้อจำกัด และวิธีการประมวลผลข้อมูลเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์และถูกต้อง ภายใต้ข้อจำกัดด้านเวลาที่ต้องเร่งสร้างผลลัพธ์เพื่อรักษาความสนใจของภาคส่วนต่าง ๆ ทำให้การวิเคราะห์ในระยะแรกจำเป็นต้องใช้วิธีการที่ปฏิบัติได้จริงและมุ่งเน้นไปที่ภาพรวมระดับจังหวัดก่อน ประสบการณ์ในช่วงนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการค้นพบข้อมูลเชิงลึกด้านการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังเป็นการเรียนรู้และพัฒนากระบวนการทำงานกับข้อมูลขนาดใหญ่ที่ละเอียดอ่อนอย่างมีจริยธรรมและประสิทธิภาพควบคู่กันไป

การทำงานกับข้อมูล Mobility Data ด้านหนึ่งคือศักยภาพมหาศาลในการทำความเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่อีกด้านหนึ่งคือความซับซ้อนทางเทคนิค วิธีการ และประเด็นทางจริยธรรมและกฎหมายที่ต้องจัดการอย่างรอบคอบ โครงการในระยะแรกจึงเป็นการเรียนรู้และสร้างสมดุลระหว่างการดึงศักยภาพของข้อมูลออกมาใช้ประโยชน์ กับการบริหารจัดการความท้าทายเหล่านี้อย่างมีความรับผิดชอบ

จากจุดข้อมูลสู่ยุทธศาสตร์: Micro-Tourism คลัสเตอร์ และการสร้างภูมิคุ้มกัน

วิกฤติโควิด-19 ไม่เพียงแต่เผยให้เห็นความเปราะบางของการท่องเที่ยวไทยที่พึ่งพิงนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก แต่ยังเป็นตัวเร่งให้เกิดการทบทวนและแสวงหาแนวทางสร้างความยั่งยืนและความยืดหยุ่น (Resilience) ให้กับภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการหันมาให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวภายในประเทศและเมืองรองมากขึ้น

จากข้อมูลเชิงลึกที่ได้จาก Mobility Data ในระยะแรก โครงการได้ตกผลึกเป็นข้อเสนอแนะเชิงยุทธศาสตร์ 3 ประการ เพื่อเป็นแนวทางในการฟื้นฟูและพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองรองอย่างมีเป้าหมายและสอดคล้องกับศักยภาพที่แท้จริงของแต่ละพื้นที่ คือ 

Micro-Tourism (การท่องเที่ยวระยะใกล้/ไปเช้าเย็นกลับ) ส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวในระยะทางไม่ไกลนัก (ประมาณ 150-200 กิโลเมตร หรือใช้เวลาเดินทางราว 1.5-2 ชั่วโมง) ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นการเดินทางแบบวันเดียวจบ แนวคิดนี้สอดคล้องกับแนวโน้มทั่วโลกหลังโควิดที่เน้นการสร้างความเข้มแข็งจากการท่องเที่ยวภายในประเทศก่อน เนื่องจากเป็นการเดินทางที่ไม่ซับซ้อน มีความสม่ำเสมอ และได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกน้อยกว่า การส่งเสริม Micro-Tourism ในจังหวัดที่มีศักยภาพ จะช่วยสร้างรายได้หมุนเวียนในท้องถิ่นได้อย่างต่อเนื่อง 

Overnight Stays (การท่องเที่ยวแบบพักค้างคืน) ระบุและพัฒนาเมืองรองที่มีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้พักค้างคืนนานขึ้น การพักค้างคืนมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการใช้จ่ายที่สูงขึ้น ทั้งค่าที่พัก ค่าอาหาร และกิจกรรมต่าง ๆ การส่งเสริมเมืองรองที่มีศักยภาพด้านนี้ จะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับท้องถิ่นได้อย่างมีนัยสำคัญ 

Tourism Clusters (การท่องเที่ยวแบบเชื่อมโยงคลัสเตอร์) พัฒนารูปแบบการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงหลายจุดหมายปลายทางเข้าด้วยกัน โดยอิงตามรูปแบบการเดินทางที่เกิดขึ้นจริงซึ่งปรากฏในข้อมูล Mobility Data แทนที่จะกำหนดคลัสเตอร์จากมุมมองของผู้กำหนดนโยบายเพียงอย่างเดียว แนวทางนี้จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่หลากหลายและน่าสนใจยิ่งขึ้นให้กับนักท่องเที่ยว และกระจายประโยชน์ไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากนโยบายคลัสเตอร์แบบเดิม ๆ ที่บางครั้งอาจไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวจริง

ข้อเสนอแนะเหล่านี้ท้าทายแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองแบบ “One-Size-Fits-All” ที่ใช้กันมาแต่เดิม โครงการตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า เมืองรองแต่ละแห่งมี “คาแรคเตอร์” หรือลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน ซึ่งสะท้อนผ่านรูปแบบการเดินทางและกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ดึงดูดได้ Mobility Data ช่วยให้สามารถระบุได้ว่าเมืองใดมีจุดแข็งด้านการท่องเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ เมืองใดมีโอกาสในการส่งเสริมการพักค้างคืน หรือเมืองใดเหมาะที่จะพัฒนาเป็นศูนย์กลางหรือส่วนหนึ่งของคลัสเตอร์การท่องเที่ยว 

เป้าหมายในช่วงแรกคือการเสนอแนะให้ภาครัฐและผู้ประกอบการมุ่งเน้นการลงทุนและส่งเสริมการท่องเที่ยวในจุดที่แต่ละเมืองมีความเข้มแข็งอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดการฟื้นตัวที่รวดเร็วที่สุดหลังวิกฤตโควิด ก่อนจะก้าวไปสู่การพัฒนาในระยะต่อไป

เชื่อมช่องว่าง: จากข้อเสนอแนะสู่การลงมือทำและการเปลี่ยนแปลง

โครงการได้ก้าวเข้าสู่ระยะใหม่ โดยมีโจทย์สำคัญคือทำอย่างไรจึงจะนำข้อมูลเชิงลึกและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ได้พัฒนาขึ้น ไปสู่ “การดำเนินการจริง” และสร้าง “การเปลี่ยนแปลง” (Change) ให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม การเปลี่ยนจากหน้ากระดาษรายงานไปสู่การปฏิบัติจริงถือเป็นความท้าทายสำคัญเสมอมา

ทีมงานตระหนักดีว่าการรอให้หน่วยงานภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจังและนำข้อเสนอแนะไปปฏิบัติในทันทีอาจเป็นเรื่องยากและต้องใช้เวลา จึงมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์จากการผลักดันจากบนลงล่าง (Top-Down) เพียงอย่างเดียว มาเป็นการ “ทำให้ดู” (Show, Don’t Just Tell) ผ่านการสร้างโครงการนำร่องและสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ เพื่อแสดงให้เห็นถึงคุณค่าและประโยชน์ของแนวทางนี้อย่างเป็นรูปธรรม

การสร้าง “แนวร่วมเพื่อการเปลี่ยนแปลง” (Coalition for Change) กลายเป็นหัวใจสำคัญในระยะนี้ โดยมีการผนึกกำลังกับพันธมิตรหลัก ได้แก่ The Cloud: สื่อออนไลน์ที่มีความเชี่ยวชาญในการสื่อสารเรื่องราวเกี่ยวกับการท่องเที่ยวท้องถิ่นและเมืองรอง และเคยแสดงความสนใจในโครงการนี้มาก่อนหน้า มีบทบาทสำคัญในการนำข้อมูลเชิงลึกมาแปลงเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวที่น่าสนใจและสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) หน่วยงานให้ทุนสนับสนุนหลัก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าโครงการนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ สกสว. และหน่วยงานในเครือข่าย เช่น หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนงานวิจัยด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์อยู่แล้ว 

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการข้อมูล Mobility Data โดยให้การสนับสนุนข้อมูลในปริมาณที่มหาศาลและร่วมพัฒนากระบวนการทำงาน (Workflow) ใหม่ ๆ แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายในการประสานงาน แต่ก็สามารถลดระยะเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูลลงได้อย่างมาก (จาก 1 ปี เหลือ 6 เดือน) สะท้อนถึงการเรียนรู้และพัฒนาประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ทรูเองก็มีวิสัยทัศน์ในการนำ Mobility Data ไปใช้ประโยชน์เพื่อสังคมในมิติอื่นๆ นอกเหนือจากธุรกิจด้วย

โครงการในปัจจุบันจึงดำเนินงานในรูปแบบความร่วมมือสามฝ่าย (จุฬาฯ SDL, True, The Cloud) โดยได้รับการสนับสนุนจาก สกสว. เพื่อนำข้อมูลมหาศาลและระเบียบวิธีวิเคราะห์ที่พัฒนาขึ้น มาสร้างสรรค์เส้นทางการท่องเที่ยวและข้อมูลเชิงลึกที่นำไปปฏิบัติได้จริง 

ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติจริงที่กำลังก่อตัวขึ้น มีลักษณะเป็นการผสมผสานระหว่างแนวทางจากบนลงล่างและจากล่างขึ้นบน (Top-Down meets Bottom-Up) ประกอบด้วย:

การขับเคลื่อนนโยบายด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์: ใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์ที่น่าเชื่อถือเป็นฐานในการพูดคุยและนำเสนอข้อเสนอแนะต่อผู้มีส่วนกำหนดนโยบายระดับสูง เช่น คณะอนุกรรมการด้านการท่องเที่ยวภายใต้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ (ซึ่งมี คุณมาริสา สุโกศล หนุนภักดี เป็นประธาน) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) ผ่านเวทีเสวนาและการนำเสนอข้อมูลโดยตรง

การสาธิตศักยภาพผ่านโครงการนำร่อง: พัฒนาตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม เช่น การวิเคราะห์และนำเสนอศักยภาพของคลัสเตอร์ท่องเที่ยว 6 แห่ง (จาก 21 คลัสเตอร์) หรือการออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวร่วมกับ The Cloud เพื่อแสดงให้เห็นว่าแนวคิดนี้สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงและสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างไร 

การส่งเสริมและเชื่อมโยงเครือข่ายในพื้นที่: ตระหนักถึงบทบาทสำคัญของ “คนในพื้นที่” ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ นักสร้างสรรค์ หรือเครือข่ายชุมชนในฐานะ “ตัวแทนการเปลี่ยนแปลง” (Change Agents) ที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาจากฐานราก

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนักท่องเที่ยว (Hack Behavior): ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนในการใช้ข้อมูลเชิงลึกและกลยุทธ์ที่เหมาะสม เพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวหันมาสนใจเมืองรองมากขึ้น ใช้เวลาพำนักนานขึ้น และมีการใช้จ่ายที่สูงขึ้น

การพัฒนาปัจจัยสนับสนุน (Supply Side): ยอมรับความจริงว่าข้อมูลเชิงลึกเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน คุณภาพการบริการ และทักษะของบุคลากรในเมืองรองควบคู่ไปด้วย ซึ่งอาจต้องอาศัยการลงทุนและการสนับสนุนจากภาครัฐ

แนวทางเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า การนำข้อมูลเชิงลึกไปสู่การปฏิบัติจริงในระบบที่ซับซ้อนอย่างภาคการท่องเที่ยว จำเป็นต้องอาศัย “การประสานพลัง” (Orchestration) ในหลายระดับ ตั้งแต่การสร้างความเข้าใจและผลักดันในระดับนโยบาย การสาธิตให้เห็นผลจริงผ่านโครงการนำร่อง การเสริมสร้างศักยภาพของคนในพื้นที่ ไปจนถึงการจัดการทั้งด้านอุปสงค์ (พฤติกรรมนักท่องเที่ยว) และอุปทาน (คุณภาพของแหล่งท่องเที่ยวและบริการ) อย่างบูรณาการ

ข้อมูลท่องเที่ยวจุดเปลี่ยนสู่ความก้าวหน้าของชาติ

เป้าหมายของโครงการนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในภาคการท่องเที่ยว แต่ยังเชื่อมโยงโดยตรงกับความท้าทายเชิงโครงสร้างที่สำคัญของประเทศไทย ได้แก่:

การบรรเทาปัญหา Overtourism: การกระจายนักท่องเที่ยวไปยังเมืองรองจะช่วยลดแรงกดดันต่อเมืองหลัก ทำให้การท่องเที่ยวมีความสมดุลและยั่งยืนมากขึ้น

การกระจายความมั่งคั่ง ลดความเหลื่อมล้ำ: การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใน 55 จังหวัดเมืองรอง 5 ผ่านนโยบายส่งเสริมที่ตรงจุด 18 จะช่วยยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของคนในภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาที่ทั่วถึง

การก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง (Middle-Income Trap): ประเทศไทยติดอยู่ในภาวะกับดักรายได้ปานกลางมาระยะหนึ่งแล้ว 20 ซึ่งหมายถึงความยากลำบากในการยกระดับเศรษฐกิจไปสู่ระดับรายได้สูง เนื่องจากข้อจำกัดด้านผลิตภาพ นวัตกรรม และความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองรองให้มีคุณภาพและมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ควบคู่ไปกับการยกระดับรายได้ของประชากรส่วนใหญ่ถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่อาจช่วยให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักนี้ได้ 

ดังนั้น การส่งเสริม “เมืองรอง” หรือ “เมืองน่าเที่ยว” จึงไม่ใช่เพียงกลยุทธ์ทางการตลาด แต่มีศักยภาพที่จะเป็น “ยุทธศาสตร์ชาติ” ในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวม

นอกเหนือจากผลลัพธ์เชิงนโยบายและเศรษฐกิจแล้ว โครงการนี้ยังมีส่วนสำคัญในการ “สร้างคน” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลผลิตที่ทรงคุณค่า ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ เน้นย้ำถึงโอกาสที่นักวิจัยรุ่นใหม่ได้รับจากการเข้าถึงและวิเคราะห์ข้อมูล Mobility Data ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นข้อมูลที่แม้แต่นักวิจัยอาวุโสในประเทศไทยจำนวนมากก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัส การที่คนรุ่นใหม่เหล่านี้ได้ทำงานวิจัยที่ซับซ้อนและทันสมัยเช่นนี้ ไม่เพียงแต่สร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ แต่ยังเป็นการบ่มเพาะบุคลากรที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการวิจัยและนโยบายที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Policy) ของประเทศต่อไปในอนาคต

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกันระหว่าง “โครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล” (Data Infrastructure) และ “ศักยภาพของบุคลากร” (Human Capacity) การมีอยู่ของข้อมูลที่ทันสมัยและเข้าถึงได้ (ภายใต้กรอบกติกาที่เหมาะสม) เป็นปัจจัยเอื้อให้นักวิจัยสามารถพัฒนาทักษะและสร้างสรรค์นวัตกรรมได้ ในขณะเดียวกัน บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถก็เป็นผู้ที่จะดึงศักยภาพของข้อมูลออกมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ การลงทุนและการส่งเสริมทั้งสองด้านนี้ควบคู่กันไปจึงเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนในยุคดิจิทัล

สร้างคุณค่าร่วม: โมเดลใหม่ของความร่วมมือเพื่อสังคม

โครงการ Mobility Data เพื่อการท่องเที่ยวนี้ ดำเนินงานสอดคล้องกับแนวคิด “การสร้างคุณค่าร่วม” (Creating Shared Value – CSV) อย่างชัดเจน โดยมุ่งสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจควบคู่กับการแก้ปัญหาสังคม ซึ่งต่างจาก CSR แบบดั้งเดิม เพราะเป็นการสร้างผลกำไรและความได้เปรียบทางธุรกิจผ่านการแก้ปัญหาสังคมโดยตรง นำไปสู่ความยั่งยืน

โครงการนี้เป็นตัวอย่างรูปธรรมของ CSV ในไทย ที่สร้างประโยชน์ร่วมกันแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างแท้จริง สำหรับภาคเอกชนเช่น True ก็ได้รับข้อมูลเชิงลึกเพื่อนำไปพัฒนาบริการ สร้างภาพลักษณ์ที่ดีจากการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อประโยชน์ต่อสังคม และยังมีโอกาสต่อยอดเป็นธุรกิจใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ข้อมูลได้อีกด้วย 

ในส่วนของภาควิชาการอย่างจุฬาฯ SDL ก็ได้เข้าถึงข้อมูลที่ไม่เคยมีมาก่อนเพื่อทำการวิจัย พัฒนาระเบียบวิธีวิเคราะห์ใหม่ ๆ ทั้งยังสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ที่มีทักษะสูง และมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายสาธารณะ ด้านภาครัฐและหน่วยงานให้ทุน เช่น สกสว., ททท., และ อพท. ก็ได้รับข้อมูลเชิงประจักษ์เพื่อใช้ในการวางแผนและตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศทั้งในมิติการกระจายรายได้และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และช่วยให้บรรลุเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่ตั้งไว้ 

ขณะเดียวกัน ภาคประชาสังคม สื่อ ชุมชนท้องถิ่น และผู้ประกอบการ ก็ได้รับการส่งเสริม สร้างความเข้าใจในวงกว้าง ได้รับข้อมูลเชิงลึกเพื่อนำไปปรับปรุงธุรกิจและบริการ และได้รับประโยชน์จากรายได้การท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ส่วนสังคมโดยรวมก็จะได้รับประโยชน์จากภาคการท่องเที่ยวที่สมดุลและยั่งยืนมากขึ้น รวมถึงการกระจายทรัพยากรที่เป็นธรรมยิ่งขึ้น

ด้วยเหตุนี้ โครงการจึงไม่ใช่เพียงความร่วมมือเฉพาะกิจ แต่เป็นการสร้าง “รูปแบบธุรกิจสร้างสรรค์” และระบบนิเวศความร่วมมือที่ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์และมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

อนาคตของการพัฒนาที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

แม้โครงการ Mobility Data เพื่อการท่องเที่ยวจะจุดประกายความหวังและแสดงศักยภาพมหาศาล แต่หนทางข้างหน้ายังเผชิญความท้าทายหลายมิติ ประการแรกคือ ความต่อเนื่องเชิงนโยบายและการผลักดันให้เกิดการใช้ข้อมูลจริงจัง ควบคู่ไปกับการจัดสรรทรัพยากรที่เพียงพอสำหรับการพัฒนาเมืองรองในระยะยาว ประการต่อมาคือ การพัฒนาปัจจัยสนับสนุนในพื้นที่ (Supply Side) ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน บริการ และบุคลากรในเมืองรอง ให้สอดรับกับข้อมูลเชิงลึกและความต้องการของนักท่องเที่ยว

นอกจากนี้ การขยายผลความสำเร็จ (Scaling Up) จากโครงการนำร่องไปสู่เมืองรองอื่น ๆ ทั่วประเทศยังต้องการการวางแผนอย่างเป็นระบบ ขณะเดียวกัน ธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance) และความน่าเชื่อถือ ด้านจริยธรรม ความโปร่งใส และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จะยิ่งทวีความสำคัญเมื่อมีการใช้ข้อมูลในวงกว้าง สุดท้ายนี้ การประสานงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ที่เกี่ยวข้องยังคงเป็นกลไกสำคัญที่ต้องพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อให้การขับเคลื่อนเป็นไปอย่างบูรณาการ

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ยังมีสัญญาณบวกและเหตุผลที่ทำให้เชื่อมั่นในศักยภาพของโครงการนี้ พลังของ “ข้อมูลเชิงประจักษ์” (Evidence-Based Approach) ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนมุมมองและทิศทางการตัดสินใจ เครือข่ายความร่วมมือที่กำลังขยายตัวและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงพลังของ “ตัวแทนการเปลี่ยนแปลง” ในระดับท้องถิ่น ถือเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ

โครงการนำร่องในการใช้ Mobility Data เพื่อพลิกโฉมการท่องเที่ยวเมืองรองของไทย ที่ถือกำเนิดจากมุมมองเชิงวิพากษ์ต่อการพัฒนาเมืองและได้รับแรงขับเคลื่อนจากความร่วมมือระหว่างภาควิชาการ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม โดยมีภาครัฐให้การสนับสนุน กำลังนำเสนอภาพอนาคตใหม่ที่ไม่จำกัดอยู่แค่เพียงภาคการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังเป็นภาพสะท้อนของศักยภาพในการนำเทคโนโลยีข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) มาใช้เป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจสังคมอย่างลึกซึ้ง และออกแบบแนวทางการพัฒนาที่ตอบโจทย์ความท้าทายที่ซับซ้อนของประเทศในศตวรรษที่ 21

นี่อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทาง แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญยิ่ง ในการปูทางไปสู่การกำหนดนโยบายสาธารณะที่อิงตามข้อมูลความเป็นจริง (Data-Informed Policy) การสร้างความร่วมมือรูปแบบใหม่ ๆ ที่มุ่งสร้างคุณค่าร่วม (Creating Shared Value) และการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมที่เท่าเทียม ยั่งยืน และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง การถอดรหัสการเดินทางของผู้คนผ่าน Mobility Data อาจเป็นกุญแจสำคัญดอกหนึ่ง ที่จะช่วยปลดล็อกศักยภาพที่ซ่อนเร้นของประเทศไทย และนำไปสู่การเติบโตที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

×

Share

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ผู้เขียน