Share on
×

Share

BAM ประกาศ ‘ESG ไม่ทำ = ไม่รอด’ พลิกเกมสู้หนี้ 2 ล้านล้าน

บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM กำลังสร้างนิยามใหม่ให้แก่วงการบริหารสินทรัพย์ (AMC) ของไทย โดยเปลี่ยนภาพลักษณ์จาก “ผู้ตามเก็บหนี้” สู่การเป็น “ผู้สร้างโอกาสและความยั่งยืน” ผ่านการนำหลักการ ESG มาเป็นแกนหลักในการดำเนินธุรกิจ หรือที่เรียกว่า “ESG in Process” ซึ่งไม่เพียงเป็นการช่วยเหลือลูกหนี้อย่างมีมนุษยธรรม แต่ยังเป็นโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่งในการรับมือกับวิกฤตหนี้ในระบบเศรษฐกิจไทยที่ซ่อนอยู่

ชี้วิกฤติหนี้ 2 ล้านล้าน “Winter is Already Here”

ดร. รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAM กล่าวในหัวข้อ “หมดเวลาฟอกเขียว (Green Washing) ESG ไม่ทำ = ไม่รอด” บนเวทีสัมมนา Thailand Vision Summit ว่าประเทศไทยได้เข้าสู่สภาวะวิกฤติเศรษฐกิจแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่กำลังจะมาถึง “The Winter is coming, and already here” พร้อมชี้ให้เห็น “มวลน้ำเสีย” ขนาดมหึมาที่ซ่อนอยู่ในระบบ ขนาดสินเชื่อทั้งระบบของไทยที่มีมูลค่าราว 18-19 ล้านล้านบาท มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ประมาณ 8 แสนล้านบาท แต่ส่วนที่น่ากังวลกว่าคือหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ (Special Mention – SM) หรือกลุ่มที่เริ่มชำระไม่ปกติ ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท เมื่อรวมกันแล้ว ประเทศไทยกำลังเผชิญกับหนี้ที่มีปัญหาสูงถึง 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นขนาดที่ใหญ่และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง

สินเชื่อทั้งระบบของไทย

ท่ามกลางวิกฤตดังกล่าว BAM ได้นำเสนอทางออกที่เริ่มต้นจากการเปลี่ยนทัศนคติของลูกหนี้ โดย ดร. รักษ์ ได้ให้คำแนะนำที่ชัดเจนและทรงพลังว่า “เจรจาครับ อย่าปล่อย อย่าปิดมือถือ อย่าตัดสายทิ้ง” เพราะการหลีกเลี่ยงไม่เคยช่วยแก้ปัญหา มีแต่จะนำไปสู่กระบวนการทางกฎหมายที่เจ็บปวดสำหรับทุกฝ่าย ซึ่งเขาเปรียบว่าเป็น “ซอยคาวบอยที่พวกเราไม่ได้อยากจะเข้า”

การเปิดหน้าเจรจาจะนำไปสู่ทางออกที่ยืดหยุ่นได้ ทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ การตีทรัพย์ชำระหนี้ หรือแม้แต่การแปลงหนี้เป็นทุน ซึ่งเป็นหนทางที่ช่วยให้ลูกหนี้สามารถรักษาบ้าน ธุรกิจ และชีวิตให้เดินต่อไปได้ “คุณไม่มีทางหนีโลกที่มันเป็นเอไอแบบนี้ได้ eventually เราก็เจอตัวคุณดี” ดร. รักษ์ย้ำถึงความสำคัญของการเผชิญหน้ากับปัญหาอย่างจริงใจ

นวัตกรรม “TDR Factory” พลิกเกมแก้ปัญหาหนี้

เพื่อทำให้การช่วยเหลือลูกหนี้จำนวนมหาศาลเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ BAM ได้พัฒนานวัตกรรมที่เรียกว่า “TDR Factory” หรือโรงงานปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งเป็นการปฏิวัติกระบวนการทำงานแบบเดิมที่หนี้ทุกขนาดต้องรอคิวเดียวกัน มาเป็นการแยกสายการผลิตตามขนาดของหนี้ โดยมีทีม “หมอหนี้” ที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางเข้าไปดูแล ทำให้การช่วยเหลือรวดเร็วและตรงจุดยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับธนาคารพันธมิตร เช่น “อารี” ที่ร่วมกับธนาคารออมสินเพื่อดูแลลูกหนี้รายย่อย และ “อรุณ” ที่ร่วมกับธนาคารกสิกรไทยเพื่อดูแลหนี้ธุรกิจ SME ซึ่งเป็นการผนึกกำลังเพื่อแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ

หัวใจสำคัญ: “ESG in Process” โมเดลธุรกิจเพื่อความอยู่รอด

เพื่อตอกย้ำประเด็น “ESG ไม่ทำ = ไม่รอด” ดร. รักษ์ ได้อธิบายแนวคิด “ESG in Process” ว่าคือการที่หลักการเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมเสริม แต่คือเนื้อแท้ของธุรกิจหลัก

ใน ด้านสังคม (Social) ธุรกิจของ BAM คือการช่วยเหลือผู้คนโดยตรง ตั้งแต่การช่วยให้ “สมชายสมหญิง” สามารถรักษาบ้านไว้ได้, ช่วย “เสี่ยสมหวัง” เจ้าของ SME ให้ดำเนินกิจการต่อไปได้ รวมถึงโครงการที่สร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างมหาศาล คือการนำทรัพย์สินรอการขายมาจัดสรรให้ผู้มีรายได้น้อยได้เป็นเจ้าของในราคาที่ผ่อนไหว เปลี่ยนพื้นที่รกร้างที่อาจเป็นแหล่งเสื่อมโทรมให้กลายเป็นชุมชนที่น่าอยู่

ส่วนใน ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) BAM ได้นำที่ดินรกร้างในพอร์ตมาปลูกต้นไม้ ซึ่งไม่ใช่แค่การสร้างภาพลักษณ์เพื่อสังคม แต่เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ชาญฉลาด เพราะ “เป็นการเพิ่มมูลค่าทรัพย์ และทำให้ทรัพย์เหล่านั้นสามารถที่จะเดินหน้าขายตัวเองอยู่ในมุมที่มีมูลค่าเพิ่มได้”

ภารกิจของ BAM ภายใต้การนำของ ดร. รักษ์ วรกิจโภคาทร จึงเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า ธุรกิจบริหารสินทรัพย์สามารถเป็นพลังบวกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมได้ โดยเปลี่ยนวิกฤตหนี้สินให้กลายเป็นโอกาสในการสร้างชีวิตใหม่และความยั่งยืน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าในยุคปัจจุบัน การดำเนินธุรกิจโดยปราศจากความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมนั้น อาจไม่ใช่หนทางสู่ความอยู่รอดอีกต่อไป

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

กระจายพอร์ตออมหุ้นสร้างสมดุลอย่างไร ในวันที่โลกไม่แน่นอน

ส่องอนาคต Green Tech ไทย: CVC เผยสเปคสตาร์ตอัพที่พร้อมลงทุน

BOL ชี้ทางรอดธุรกิจยุคใหม่ ชู ‘Data-Driven Transformation’ เป็นเข็มทิศฝ่าเศรษฐกิจผันผวน

×

Share

ผู้เขียน