ท่ามกลางสมรภูมิธุรกิจที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าองค์กรยุคใหม่กำลังเผชิญกับ “วิกฤติซ่อนเร้น” ที่อันตรายไม่แพ้ปัจจัยภายนอก นั่นคือ “ช่องว่าง” ทางความรู้สึกและความคาดหวังที่กว้างขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างผู้นำและพนักงาน ซึ่งกำลังกัดกร่อนความเชื่อมั่นและฉุดรั้งศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมเพื่อความอยู่รอดขององค์กรไทย
ในงานสัมมนาล่าสุด ผศ. ดร. มณฑล สรไกรกิติกุล หัวหน้าสาขาวิชาการบริหารองค์การ การประกอบการ และทรัพยากรมนุษย์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกจากผลการวิจัยหลายชิ้น ซึ่งสะท้อนภาพความเปราะบางภายในองค์กรได้อย่างน่าตกใจ โดยระบุว่าปัญหาหลักเกิดจากภาวะที่ผู้นำกำลังหวาดหวั่นแต่เลือกที่จะเงียบ ขณะที่พนักงานกำลังร้องขอความชัดเจนและความมั่นคงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เจาะลึกภาวะ ‘ผู้นำกลัวแต่ไม่พูด’
ผศ.ดร.มณฑล กล่าวว่า จากผลสำรวจ CEO ทั่วโลกกว่า 3,000 คน พบปรากฏการณ์ที่น่ากังวล แม้ผู้นำจะแสดงความหวังต่อการทำ Digital Transformation แต่ลึกลงไปในใจ พวกเขากำลังเผชิญกับความกลัวอย่างหนัก โดยมี CEO เพียง 12% ที่รู้สึกพร้อมเต็มที่ ขณะที่อีกเกือบครึ่งหรือ 45% ยอมรับว่ายังกลัวและไม่พร้อม ความกลัวที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นความสามารถในการเป็นผู้นำของตนเองว่าจะนำพาทีมผ่านช่วงเปลี่ยนผ่านได้หรือไม่ นอกจากนี้ ความกังวลอันดับหนึ่งที่น่าตกใจคือการที่ “คณะผู้บริหารระดับสูงยังขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับยุคดิจิทัล”
การที่ผู้นำเลือกที่จะเก็บความกังวลเหล่านี้ไว้ ไม่สื่อสารออกมาอย่างตรงไปตรงมา กำลังสร้างบรรยากาศแห่งความไม่แน่นอนและความคลุมเครือให้เกิดขึ้นทั่วทั้งองค์กร พนักงานไม่สามารถรับรู้ทิศทางที่แท้จริง และเริ่มตั้งคำถามต่อความมั่นคงขององค์กรและอนาคตของตนเอง
เสียงสะท้อนจากพนักงาน: ขอแค่ ‘ความหวังและความเชื่อใจ’
ในขณะที่ผู้นำตกอยู่ในความเงียบ พนักงานกลับมีความต้องการที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมอย่างยิ่ง ผลการวิจัยชี้ว่าสิ่งที่พนักงานต้องการมากที่สุดจากผู้นำในภาวะวิกฤติไม่ใช่แค่คำสั่ง แต่เป็น 4 สิ่งสำคัญที่จะยึดเหนี่ยวจิตใจและสร้างแรงผลักดันในการทำงาน ได้แก่ ความหวัง (Hope) ว่าองค์กรมีอนาคต, ความไว้วางใจ (Trust) ในตัวผู้นำ, ความเห็นอกเห็นใจ (Compassion) และ ความมั่นคง (Stability) ในการทำงาน
ที่น่าสนใจคือ ผลสำรวจในประเทศไทยยังพบว่าพนักงานไทยมีความเข้าใจสถานการณ์ทางธุรกิจอย่างลึกซึ้ง พวกเขาทราบดีถึงปัญหาเศรษฐกิจและใส่ใจแม้กระทั่ง “ต้นทุนของบริษัท” เพราะตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อความอยู่รอดขององค์กรและเงินเดือนของพวกเขาเอง ดังนั้น การขาดการสื่อสารที่ชัดเจนจากผู้นำจึงเป็นการทำลายความหวังและความไว้วางใจที่พนักงานต้องการลงโดยตรง
วัฒนธรรม ‘แก้ปัญหาเฉพาะหน้า’: กับดักที่ฉุดรั้งองค์กรไทย
ผศ.ดร.มณฑล ได้วิเคราะห์ต่อไปถึงอุปสรรคสำคัญที่หยั่งรากลึกในวัฒนธรรมการทำงานของไทย นั่นคือความสามารถในการแก้ปัญหาแบบ “Reactive” หรือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งแม้จะทำให้เอาตัวรอดได้ในระยะสั้น แต่กลับเป็นกับดักที่ทำให้องค์กรไม่กล้าเผชิญหน้ากับความกลัวเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง
“เราเก่งในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่เรามักจะโอบกอดความกลัวและความกังวลไว้ในใจ ไม่กล้าที่จะคิดใหม่ทำใหม่” ผศ.ดร.มณฑล กล่าว พร้อมชี้ว่าวัฒนธรรมนี้สะท้อนผ่านการที่หลายองค์กรเน้น “ต้องมี KPI ก่อน” คือมุ่งวัดผลระยะสั้น โดยไม่ได้สร้างขีดความสามารถที่แท้จริงให้แก่พนักงานเพื่อรับมือกับความท้าทายในระยะยาว ซึ่งแนวทางนี้ไม่ยั่งยืนและไม่สามารถสร้างนวัตกรรมที่จำเป็นต่อการแข่งขันได้
บทสรุปจากการบรรยายชี้ว่า ทางรอดขององค์กรไม่ได้อยู่ที่การสั่งการจากบนลงล่างอีกต่อไป แต่ต้องอาศัย “ความร่วมมืออย่างจริงใจ” ระหว่างผู้นำและพนักงาน ผู้นำต้องกล้าที่จะยอมรับความท้าทายและสื่อสารอย่างโปร่งใส เพื่อสร้างความไว้วางใจและเปิดพื้นที่ให้พนักงานได้นำความรู้ความสามารถมาใช้สร้างสรรค์นวัตกรรมและโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ที่จะนำพาองค์กรให้อยู่รอดและเติบโตต่อไปได้อย่างแท้จริง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
วิกฤติคือโอกาส: ถอดมุมมอง 4 บิ๊กธุรกิจ ชี้ทางรอด-รุก
HR พลิกเกม: สร้างทีมข้ามเจน ดึงศักยภาพคนทุกวัย