การประชุมวิสามัญคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee) หรือ GBC ระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยมีมาเลเซียเป็นผู้ประสาน และมีตัวแทนจีนและสหรัฐฯ เข้าร่วมสังเกตการณ์ที่กัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา เพื่อหาข้อยุติสงครามชายแดนระหว่างเรากับประเทศเพื่อนบ้าน ได้ข้อตกลงออกมา 13 ข้อ
ในชุดข้อตกลงที่สองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันนั้น เน้นอย่างที่สุดคือเรื่องความปลอดภัยของพลเรือน โดยข้อแรกระบุว่า “1. ยุติการใช้อาวุธทุกประเภท การโจมตีต่อพลเรือน เป้าหมายพลเรือน และเป้าหมายทางทหาร ในทุกพื้นที่และทุกกรณี” แล้วไปย้ำอีกทีในข้อ 5 “ไม่ใช้กำลังต่อพลเรือนหรือเป้าหมายพลเรือนทุกกรณี”
และน่าจะเป็นครั้งแรกของการทำข้อตกลงหยุดยิงระหว่างชาติที่เป็นคู่สงครามระหว่างกัน ที่มีการระบุเรื่อง “เฟคนิวส์” (Fake News) เอาไว้ด้วยว่า ข้อ 9 “งดใช้ข้อมูลอันเป็นเท็จหรือข่าวปลอม” ข้อนี้คงต้องจับตา อังเคิล ฮุนเซน ผู้นิยมสื่อสารผ่านเฟซบุ๊ก
หลายเรื่องที่ท่านผู้นำรายนี้โพสต์ต้องตามหาความจริง อย่างที่รับรู้กันว่ารัฐบาลกัมพูชาคุมสื่อแบบรัฐสังคมนิยมและสื่อสารแบบโฆษณาชวนเชื่อที่มีหลักว่า บอกความจริงไม่ครบ ปิดบังบางส่วนเอาไว้ พูดเรื่องไม่จริงซ้ำ ๆ เดี๋ยวคนจะเชื่อเอง
ส่วนข้ออื่นนั้น เกี่ยวข้องกับกลไกและช่องทางสื่อสารของทั้งสองฝ่าย ทั้งระดับชายแดนและส่วนกลางเพื่อใช้ในการคลี่คลายความตึงเครียด รวมไปถึงการตั้งผู้สังเกตการณ์ โดยไทย-กัมพูชานัดประชุม GBC ครั้งต่อไปเดือนหน้า
แต่ประเด็นที่ทางกัมพูชายังยึกยัก คือการที่ไทยร้องขอให้ช่วยปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และเก็บกู้กับระเบิดที่ทหารกัมพูชาวางไว้ในพื้นที่ปะทะ เข้าใจว่าคงต้องรอทางพนมเปญจะว่าอย่างไร
จากนี้ไปต้องติดตามดูว่า ชุดข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยกับกัมพูชาครั้งประวัติศาสตร์ ที่ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ออกมาแถลงการันตีว่าการประชุมดังกล่าวไทยได้รับผลสำเร็จอย่างมาก และหลายประเด็นไทยผลักดันมาโดยตลอด จะยั่งยืนอย่างที่คาดหวังหรือไม่
ตัวชี้วัดแรกที่จะบอกทิศทางของชุดข้อตกลงนี้คือ ท่าทีของ อังเคิล ฮุนเซน ภายหลังจากช่วงสงครามที่อดนอนสั่งการไปแนวหน้าอยู่หน้าจอ และโพสต์เฟซบุ๊กถล่มไทยรัวๆ ว่าจะโอเคระดับไหนกับชุดข้อตกลงนี้
สงคราม 4 วันที่เริ่มต้นตอนเช้าตรู่ของวันที่ 24 กรกฎาคม เมื่อทหารกัมพูชาเปิดฉากยิงจรวด BM-21 และถล่มใหญ่ขนาด 122 มม. เข้าใส่พื้นที่พลเรือนฝั่งไทยชนิดปูพรม ทั้งโรงพยาบาลที่อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ และโรงเรียน ที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ก่อนที่เสียงปืนและระเบิดจะปะทุขยายไปตามแนวชายแดนใกล้เคียง
เที่ยงคืนของวันที่ 28 กรกฎาคม ไทย-กัมพูชาตกลงหยุดยิงหลัง ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกฯ และรมว.มหาดไทย ไปเจรจากับ ฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา โดยมีมาเลเซียเป็นคนกลาง ซึ่งเป็นผลจากการแทรกแซงของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ด้วยการยกมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ที่สหรัฐฯ จะประกาศอัตราภาษีตอบโต้กับไทย กัมพูชา รวมทั้งประเทศอื่น ๆ ในวันที่ 1 สิงหาคมขึ้นมาบีบ
แม้สงครามชายแดนรอบนี้จบเร็ว แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นซึมลึกลงหลายมิติ ในแง่ของชีวิต เป็นเรื่องสลดใจที่ผลจากสงคราม 4 วัน มีชาวบ้านเสียชีวิต 17 ราย ในจำนวนนี้มีเด็กที่อยู่ในชุดนักเรียนและคนชรารวมอยู่ด้วย มีผู้บาดเจ็บอีก 38 ราย ขณะที่ทหารพลีชีพเพื่อมาตุภูมิ 15 นาย และบาดเจ็บอีก 196 นาย
ส่วนทางเศรษฐกิจและปากท้อง ประเมินกันว่าการค้าชายแดนเสียหายไม่น้อยกว่า 14,000 ล้านบาทต่อเดือน (ไทยเปิดด่านชายแดนอย่างจำกัดเวลา ด้านสระแก้ว จันทบุรี ตราด ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ เมื่อ 23 มิ.ย. 68)
ตัวเลขของกรมการค้าต่างประเทศระบุว่า ปี 2567 ไทยกับกัมพูชามีการค้าชายแดนระหว่างกันคิดเป็นมูลค่า 175,539 ล้านบาท โดยไทยส่งออก 141,846 ล้านบาท และนำเข้า 32,684 ล้านบาท สรุปแล้วไทยได้ดุลการค้ากัมพูชาอยู่ 109,163 ล้านบาท
อีกด้านของมุมเศรษฐกิจจากผลของสงคราม 4 วัน คือเรื่องแรงงาน ตัวเลขทางการ ณ เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ไทยมีแรงงานจากเพื่อนบ้านเข้ามาทำงานอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 4,080,613 คน ส่วนใหญ่มาจากเมียนมา 2,987,948 คน กัมพูชารองลงมา 512,184 คน และ สปป.ลาว 289,217 คน โดยแรงงานกัมพูชาส่วนใหญ่อยู่ในภาคก่อสร้าง
เอ็นจีโอไทยประเมินว่า ผลจากสงครามและการที่ อังเคิล ฮุนเซน โพสต์เฟซบุ๊กขู่ประมาณว่าหากใครไม่กลับบ้านจะถูกถอนสัญชาติ ยึดบ้านเป็นของหลวง ฯลฯ มีแรงงานกัมพูชาเป็นจำนวนมากกลับบ้านเกิด สื่อบ้านเราอ้างข้อมูลจากกรรมาธิการแรงงานว่ามีแรงงานกัมพูชากลับบ้านแล้ว 540,000 คน (ณ 1 ส.ค.) ขณะที่สื่อกัมพูชาอ้างว่านับจากเดือนมิถุนายนถึงปัจจุบันแรงงานกัมพูชาในไทยกลับบ้านแล้วไม่น้อยกว่า 670,000 คน
แรงกระแทกทางเศรษฐกิจคงจะตามมาเป็นระลอก จะแรงหรือหนักขนาดไหนขึ้นอยู่กับว่าข้อตกลงหยุดยิงจะศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ และมาตรการเยียวยาจากรัฐบาลจะทั่วถึงและตรงเป้าหรือไม่ แต่ที่ไม่สามารถเยียวยาได้ในวันสองวัน คือความบาดหมางของคนสองชาติจากสงครามรอบนี้ ซึ่งคงใช้คำว่า “เพื่อนบ้าน” ได้ไม่เต็มปากไปอีกนาน
ทั้งหมดคือราคาที่ไทยและกัมพูชาต้องจ่ายรอบนี้ จากสงครามที่เชื่อว่าต้นเหตุมาจากผลประโยชน์ของสองตระกูลขัดกัน โดยมีอธิปไตยและเขตแดนเป็นข้ออ้าง
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
‘วิทัย รัตนากร’ ผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ กับโจทย์ท้าทายฟื้นเศรษฐกิจไทย
ไทยต่อรองภาษีทรัมป์จะจบแบบ Win-Win?
โมเมนตัมเศรษฐกิจที่ดี แค่วาทกรรม