เมื่อพูดถึงการเติบโตในสายอาชีพ หลายคนมักมองถึงจุดสูงสุดของการเป็นผู้นำองค์กรหรือ CEO ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ท้าทายและต้องการความพยายามเป็นอย่างมาก ในการเสวนาหัวข้อ “From first jobber to CEO : Building a meaningful career” จากงาน WISE CHULA FORUM ได้รวบรวมประสบการณ์จาก ฮิม – วิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล CEO ของ Warrix Sport และ โมทย์ – ปราโมทย์ เดชะบุญศิริพานิช Managing Director ของ PANPURI ซึ่งทั้งสองท่านได้ร่วมกันแบ่งปันมุมมอง แนวคิด และวิธีการจัดการกับความท้าทายในการทำงาน รวมถึงการสร้างการเติบโตในหน้าที่การงาน ที่สามารถเป็นแรงบันดาลใจที่จำเป็นสำหรับคนทำงานรุ่นใหม่
การเติบโตในหน้าที่การงานไม่ใช่เพียงแค่การได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้น แต่ยังหมายถึงการเติบโตในความสามารถ ความเชี่ยวชาญ และการมีบทบาทที่มีความหมายต่อองค์กร การเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง การไม่หยุดที่จะสำรวจและทดลองสิ่งใหม่ ๆ จะทำให้สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป และการมี Mindset ที่ถูกต้องเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้คนทำงานเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ในการทำงานทุก ๆ ขั้นตอน ความท้าทายและปัญหามักเกิดขึ้นอยู่เสมอ การรู้จักจัดการกับความกดดันและความเครียดเป็นสิ่งสำคัญ การตั้งสติและวิเคราะห์ปัญหาอย่างรอบคอบ รวมถึงการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลและมีข้อมูลประกอบจะช่วยให้สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบาก
ควรตั้งเป้าหมายตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการทำงาน
ฮิม วิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล Chief Executive Officer ของ Warrix Sport โดย Warrix Sport เป็นแบรนด์ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับกีฬาครบวงจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดกีฬา อุปกรณ์กีฬา และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกาย Warrix มีชื่อเสียงโดดเด่นในประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตชุดแข่งขันฟุตบอลอย่างเป็นทางการของทีมชาติไทย โดยบริษัทเน้นการออกแบบที่ทันสมัย คุณภาพสูง และใช้เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นกีฬา นอกจากชุดกีฬาแล้ว Warrix ยังมีผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น รองเท้า อุปกรณ์เสริมการกีฬา และเสื้อผ้าแฟชั่นสปอร์ตแวร์ ที่ตอบสนองความต้องการของผู้รักการออกกำลังกายและกีฬาในหลากหลายประเภท
แต่เส้นทางสู่ความสำเร็จของ ฮิมนั้นไม่ได้ง่ายดายหรือรวดเร็วอย่างที่หลายคนคิด เริ่มต้นจากเด็กหนุ่มที่เรียนจบจากคณะคณิตศาสตร์การบัญชี ความฝันของเขาในวัยเยาว์ไม่ได้ซับซ้อน เพียงแค่ต้องการเป็นเศรษฐีและมีทรัพย์สินมากกว่าคุณพ่อก่อนอายุ 30 ปี เพื่อเอาชนะความกลัวที่เกิดจากประสบการณ์ครอบครัวที่เคยประสบปัญหาธุรกิจล้มละลายเมื่อเขาอายุ 15 ปี
ฮิมเล่าว่า ในช่วงที่ยังเป็นนักศึกษา เขามักคำนวณเป้าหมายการเงินของตนเองอย่างจริงจัง คำนวณค่าเงินเฟ้อและวางแผนการเงินระยะยาวเพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อเรียนจบแล้วจะสามารถมีเงินเก็บพอที่จะรอเกษียณได้ เขาจึงเลือกเรียนสายการเงิน การบริหาร และบัญชี เป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จในปัจจุบัน รวมถึงการตั้งเป้าหมายตั้งแต่แรกเริ่มกลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้มีแรงทุ่มเททั้งการเรียนและการทำงานอย่างเต็มที่
ฮิมเริ่มต้นการทำงานแรกในบริษัทขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียง โดยตั้งเป้าหมายทำงานประมาณ 2-3 ปี เพื่อเรียนรู้ระบบองค์กรและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ โดยมี Mindset ว่าเขาจะทำงานเสมือนว่างานนั้นเป็นของตัวเองจริง ๆ การทุ่มเททำงานหนักกว่าใคร ๆ อดทน และใส่ใจในรายละเอียด ทำให้เขาได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ อย่างมากมาย โดยงานแรกในบริษัทใหญ่ไม่ใช่แค่การหาความมั่นคงทางการเงิน แต่เป็นโอกาสที่ทำให้เขาได้รู้จักกับการทำงานในระดับองค์กร และการจัดการธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ ทักษะที่เขาได้เรียนรู้จากการทำงานในช่วงนี้กลายเป็นพื้นฐานสำคัญในการต่อยอดสู่การสร้างธุรกิจของตนเองในอนาคต หลังจากสะสมประสบการณ์ในองค์กรใหญ่ ฮิมจึงย้ายไปทำงานในธุรกิจที่เกี่ยวกับการบริหารอีก 2-3 ปี โดยเขายังคงยึดหลักการทำงานแบบ “ทำงานเหมือนเป็นเจ้าของ” ด้วยการคิดและทำงานอย่างจริงจังทุกวัน ไม่ว่าหน้าที่ใดที่ได้รับมอบหมาย เขาจะทำให้ดีที่สุดเสมือนว่ากำลังดูแลธุรกิจของตนเอง การทุ่มเทเช่นนี้ทำให้เขาได้เรียนรู้การจัดการ การบริหารคน การเงิน และการตัดสินใจในเชิงกลยุทธ์ ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้เขาพร้อมสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจของตนเอง
ก่อนอายุ 30 ปี ฮิมก็สามารถสร้างธุรกิจของตนเองขึ้นมาตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ โดย Warrix Sport ได้เติบโตอย่างรวดเร็วและประสบความสำเร็จในระดับที่น่าทึ่ง แต่เขาได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญที่อยากฝากให้กับคนรุ่นใหม่ว่า “เงินนั้นซื้อความสุขไม่ได้” แม้ว่าความสำเร็จทางการเงินจะเป็นเป้าหมายที่ทำให้รู้สึกถึงความภาคภูมิใจ แต่สิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าคือการได้ทำในสิ่งที่ตนเองรักและมีความหมาย ความสำเร็จไม่ได้วัดด้วยจำนวนเงินเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงความสุขที่ได้จากการทำงาน การเติบโตเป็นผู้นำที่ดี และการมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้กับสังคม
พื้นฐานสำคัญของความสำเร็จคือการสร้าง Career Capital ที่มั่นคง
โมทย์ – ปราโมทย์ เดชะบุญศิริพานิช Managing Director ของ PANPURI โดย PANPURI เป็นแบรนด์ชั้นนำจากประเทศไทยที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพแบบครบวงจร โดยเน้นการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติที่มีคุณภาพสูง PANPURI มีชื่อเสียงในด้านการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สปา สกินแคร์ น้ำหอม อโรมาเธอราพี รวมถึงผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและร่างกาย ซึ่งทุกชิ้นถูกออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์ที่หรูหราและผ่อนคลายแบรนด์ PANPURI โดดเด่นด้วยการผสมผสานวัฒนธรรมตะวันออกเข้ากับความทันสมัย และมุ่งเน้นการใช้ส่วนผสมที่เป็นออร์แกนิค ปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตราย เช่น พาราเบน ซิลิโคน และซัลเฟต อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและการรักษาสิ่งแวดล้อม ทำให้ PANPURI ได้รับความนิยมทั้งในประเทศและต่างประเทศในฐานะแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและความงามจากภายในสู่ภายนอก
เส้นทางอาชีพของโมทย์ไม่ได้ราบรื่นตั้งแต่แรกเริ่ม เรื่องราวนี้เต็มไปด้วยบทเรียนจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ทำให้เปลี่ยนมุมมองในการทำงานและการวางแผนชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี โมทย์มีแผนจะไปศึกษาต่อปริญญาโททันที แต่แล้วแผนการนั้นก็ต้องพับไปเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 หรือที่รู้จักกันในชื่อวิกฤติต้มยำกุ้ง สถานการณ์ในตอนนั้นไม่เพียงกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ แต่ยังเปลี่ยนแปลงวิธีคิดและการตัดสินใจของโมทย์ ที่ต้องมองหาทางเลือกที่มั่นคงกว่าแทนการศึกษาต่อ จากแผนการเรียนต่อ คุณโมทย์เลือกที่จะเริ่มทำงานในบริษัท P&G ซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติที่มั่นคง โดยรับตำแหน่ง Cost Analyst ที่เกี่ยวข้องกับการทำบัญชี แม้ว่าเขาจะไม่ชอบงานนี้เลยเพราะต้องเผชิญกับงานที่ยากและซับซ้อน อีกทั้งยังต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 ครึ่งทุกวันเพื่อไปทำงาน แต่ด้วยความมุ่งมั่นและคาดหวังว่าหากทำงานได้ดี จะได้รับโอกาสไปศึกษาดูงานที่ประเทศสิงคโปร์ เขาจึงทุ่มเทให้กับงานอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรือใหญ่ ก็พร้อมจะทำโดยไม่เกี่ยง
โมทย์เล่าว่า สิ่งสำคัญที่เขาเรียนรู้จากประสบการณ์การทำงานในช่วงแรก ๆ คือการสร้าง Career Capital หรือ “ทุนชีวิต” ซึ่งเป็นการสะสมทักษะและประสบการณ์ที่มีคุณค่าในช่วงสิบปีแรกของการทำงาน เขาแนะนำว่าในช่วงเริ่มต้นของอาชีพ ควรใช้เวลาสำรวจว่าตัวเองชอบอะไรและทำอะไรได้ดี ไม่ต้องกังวลว่าตำแหน่งแรกจะเป็นงานที่ใช่ที่สุดสำหรับเรา เพราะงานทุกอย่างสามารถให้บทเรียนและประสบการณ์ที่มีคุณค่าได้เสมอ การสร้าง Career Capital เหล่านี้จะเป็นพื้นฐานสำคัญในการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวในสายอาชีพ ไม่ว่าเราจะเปลี่ยนไปทำงานในสายไหน แต่ถ้าเรามีทักษะและประสบการณ์ที่สะสมมาแล้ว สิ่งเหล่านี้จะยังคงติดตัวและเป็นจุดแข็งของเราในทุก ๆ สถานการณ์ แม้ว่างานแรกของโมทย์จะไม่ใช่งานที่เขาชอบที่สุด แต่เขากลับมองว่ามันเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ “งานแรกอาจจะไม่ใช่งานที่ใช่ที่สุด” แต่สิ่งสำคัญคือเราจะได้เรียนรู้อะไรจากงานที่ได้ทำ และบทเรียนเหล่านั้นจะนำไปใช้ในการสร้างเส้นทางอาชีพที่ดีขึ้นในอนาคต การมองเห็นคุณค่าของประสบการณ์ทุก ๆ อย่างที่ได้เจอจะทำให้เรามี Career Capital ที่แข็งแกร่ง และพร้อมที่จะประสบความสำเร็จในสายงานที่เราเลือกต่อไป
โมทย์ได้ฝากข้อคิดให้กับคนทำงานรุ่นใหม่ว่า อย่ากลัวที่จะเริ่มต้นจากสิ่งที่ไม่ใช่ที่สุดสำหรับเรา เพราะงานทุกงานมีสิ่งที่สอนเราได้เสมอ การทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่และไม่หยุดที่จะเรียนรู้ จะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเติบโตได้อย่างมั่นคงและสามารถต่อยอดไปสู่สิ่งที่เรารักและมีความสุขได้ในที่สุด
เรียนรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร?
ฮิม แนะนำให้ลองถามตัวเองทุกเช้าว่า “คุณอยากตื่นเช้ามาทำงานไหม?” หากคำตอบคือไม่ การที่รู้สึกเบื่องานแรกหรือไม่อยากตื่นไปทำงานอาจเป็นสัญญาณว่าคุณควรพิจารณาเปลี่ยนงานหรือค้นหาสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเองมากกว่า แต่หากคุณยังรู้สึกชอบและยังรักในสิ่งที่ทำ สิ่งเหล่านั้นจะเป็นแรงผลักดันให้คุณสร้างผลงานที่ดีและสะสมประสบการณ์การทำงานได้มากขึ้น เนื่องจากองค์กรไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้พอดีกับทุกคน ดังนั้น การย้อนกลับมาสังเกตตัวเองเป็นประจำว่าเรายังเหมาะกับองค์กรนี้หรือไม่ อาจช่วยให้เราพบทิศทางที่ชัดเจนขึ้นในการดำเนินชีวิตและการทำงาน
ส่วนโมทย์เชื่อว่าการสร้าง Career Capital หรือการสะสมทักษะและประสบการณ์ที่มีค่าในช่วงแรกของการทำงานยังสำคัญที่สุด แม้ว่าคุณอาจไม่มั่นใจในเส้นทางที่เลือก แต่การลงมือทำและเรียนรู้จากงานที่ทำจะกลายเป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้คุณเติบโตในสายงานอื่น ๆ ได้ในอนาคตได้อย่างแน่นอน นอกจากการใช้ Career Capital ในการทำงานแล้ว การพัฒนาทักษะด้านการเป็นผู้นำ (Leadership) และการทำงานเป็นทีมก็เป็นทักษะที่สำคัญในการสร้างผลลัพธ์ที่ดี ทั้งสองอย่างนี้จะกลายเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เราก้าวหน้าในอาชีพการงาน และสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับองค์กรและผู้คนรอบข้างได้เช่นกัน
ความสำเร็จคืออะไรกันแน่?
ความสำเร็จถูกวัดจากความสามารถในการตอบคำถามให้ถูกต้องในข้อสอบ แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ชีวิตการทำงาน ก็จะพบว่าคำตอบของชีวิตไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียวอีกต่อไป แต่สามารถมีได้หลากหลายคำตอบ
สำหรับฮิมแชร์ว่าในโลกธุรกิจ เรามักถูกสอนให้มุ่งสร้างกำไรสูงสุด แต่เมื่อได้เข้ามาสัมผัสกับการทำธุรกิจจริง ๆ เขาพบว่ากำไรอาจไม่ใช่สิ่งที่สร้างความสุขเสมอไป ความสุขของเขาถูกนิยามใหม่ในแง่ของความสำเร็จที่ไม่ได้วัดด้วยตัวเลข แต่เป็นความสุขและความสมดุลที่เกิดจากการได้ทำในสิ่งที่รักและมีความหมาย ดังนั้นสำหรับเขาแล้ว ความสำเร็จไม่ได้หมายถึงผลกำไรทางการเงินที่ยิ่งใหญ่เสมอไป แต่คือความสุขที่ได้จากการสร้างคุณค่าและความสุขในชีวิตประจำวันต่างหาก การเป็นเจ้าของบริษัทช่วยให้เขามีเวลาอยู่กับครอบครัวและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ตั้งแต่แรก คือการมีความมั่งคั่งมากกว่าคุณพ่อ ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้เขาพอใจและไม่ต้องเหนื่อยเกินไปกับการตะเกียกตะกายในชีวิตอีกต่อไป ดังนั้น การรู้จักคุณค่าของชีวิตและเป้าหมายที่แท้จริงของตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรมองหา
ในมุมของโมทย์ เล่าว่าเมื่ออายุมากขึ้น การเปรียบเทียบดีแย่ ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จที่แท้จริงของชีวิตเสมอไป ต่อไปให้มองว่าช่วง 10 ปีแรกของการทำงานคือการสร้าง Career Capital หรือการสะสมทักษะและประสบการณ์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตในอนาคต
อย่างตัวโมทย์เองเขาตัดสินใจลาออกจากบริษัท P&G ซึ่งเป็นที่ทำงานแรก แม้จะมีความกลัวเกิดขึ้น แต่เขารู้ว่า ต่อให้การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จ เขายังมีทักษะพื้นฐานที่จะกลับมาสู่สายงานเดิมได้ อีก 10 ปีต่อมาจึงค่อยตัดสินใจที่จะลองทำในสิ่งที่อยากทำมากขึ้น และเชื่อว่าทุกคนมีจังหวะของตัวเองในการตัดสินใจ ไม่จำเป็นต้องรอจังหวะที่ดีที่สุด แค่เริ่มต้นเมื่อพร้อม และในช่วง 10 ปีสุดท้ายของชีวิตการทำงาน ความสำเร็จจะถูกนิยามใหม่เป็นการให้กลับคืนสู่สังคม (Continue back to Society) เมื่อเรามีความพึงพอใจในระดับหนึ่งแล้ว ควรทำคุณค่าให้กับผู้อื่นและสร้างผลกระทบที่ดีต่อสังคมต่อไป
ทักษะที่คำคัญสำหรับคนทำงานรุ่นใหม่
นั่นคือ “การรักษาจรรยาบรรณ” และ “การรับมือกับความเครียดและความผิดหวัง” การเผชิญกับความเครียดและความผิดหวังเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตของทุกคน ไม่ว่าจะในเรื่องงาน ครอบครัว หรือความสัมพันธ์ส่วนตัว การรับมือกับความรู้สึกเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยให้เราก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากและเติบโตขึ้นได้
ฮิม แบ่งปันมุมมองอีกว่า คนเราเติบโตมาท่ามกลางการถูกสอนให้แข่งขันและสร้างความสามารถ แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการรักษาจรรยาบรรณและความสุจริตในการทำงานและใช้ชีวิต การอยู่ท่ามกลางผู้คนที่เก่งและมีความสามารถเป็นเรื่องที่ดี แต่การรักษาความถูกต้องและอยู่ในทางที่ชอบธรรมท่ามกลางสังคมที่เน้นผลประโยชน์เป็นสิ่งที่ท้าทายยิ่งกว่า เขาเชื่อว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่นและการสะสมแนวคิดที่ถูกต้องจะช่วยป้องกันความผิดพลาดและสร้างเส้นทางชีวิตที่ยั่งยืนได้
โมทย์กล่าวว่า การผิดหวังไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่คือโอกาสที่เราจะได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองให้ดีกว่าเดิม เพราะช่วงเวลาที่เราผิดหวังนั้นเป็นจังหวะที่เราได้เรียนรู้มากที่สุด มากกว่าช่วงเวลาที่เราประสบความสำเร็จ การล้มเหลวทำให้เราเข้าใจถึงข้อบกพร่องและสิ่งที่ต้องปรับปรุง การที่เรารับมือกับความผิดหวังได้ดีจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้เราแข็งแกร่งและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหม่ การสร้างชีวิตที่สมดุลเป็นสิ่งสำคัญ เราสามารถผสมผสานองค์ประกอบต่าง ๆ ในชีวิตของเราให้เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของครอบครัว เงินทอง การสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคม หรือแม้กระทั่งการทำตามความตั้งใจลึก ๆ ของตัวเอง เพื่อสร้างชีวิตที่มีความสุขและมีความหมาย การหาสมดุลที่เหมาะสมสำหรับตัวเราเองจะช่วยลดความเครียดและทำให้เรารับมือกับความผิดหวังได้ดีขึ้น
ทั้งหมดนี้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงไหนของชีวิตการทำงาน จงจำไว้ว่าเราสามารถกำหนดมาตรฐานความสำเร็จของตัวเองได้ และการเปลี่ยนแปลงกรอบความคิด การเปิดใจเรียนรู้จากประสบการณ์ที่หลากหลาย จะช่วยให้เราพบเส้นทางอาชีพที่เหมาะสมและมีความหมาย เพียงแค่มีเป้าหมายที่ชัดเจน มี Mindset ที่พร้อมเรียนรู้และสร้างคุณค่าจากทุกโอกาสที่เข้ามาในชีวิต และการรับมือกับความผิดหวังให้ได้ก็จะช่วยให้เรามีความสุขและความพึงพอใจในแบบของตัวเอง ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับอะไรในอนาคตก็ตาม
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
SCB ขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน เพื่ออนาคต Net Zero
เยือน “บึงกาฬ” เมืองพญานาค เจาะ “โซ่พิสัยโมเดล” ใช้ดีไซน์-ศิลปะแก้ความยากจน
กฤษณ์ จันทโนทก ฉายภาพ บทบาทในการสร้างสังคมและเศรษฐกิจแบบยั่งยืนของ SCB