วิกฤติต้มยำกุ้ง วิกฤติเศรษฐกิจครั้งประวัติศาสตร์ของไทยและภูมิภาคเอเชีย ครบรอบ 27 ปี เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีสื่อและสำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจหยิบมารำลึกถึงโศกนาฎกรรมครั้งนั้นกันพอสมควร โดยเชื่อมโยงกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน ที่ผู้คนในสังคมเริ่มกังวลต่ออาการทางเศรษฐกิจที่ปรากฎให้เห็นมากขึ้น ไม่ว่าโรงงานปิดตัว ย้ายฐานการผลิตออกจากไทย ร้านอาหารหลายแห่ง ทยอยบอกลาลูกค้า นั้นใช่ลางบอกเหตุที่จะนำไปสู่วิกฤติอีกครั้งหรือไม่?
วิกฤติต้มยำกุ้งไม่ได้อุบัติขึ้นมาอย่างฉับพลัน หากมีการสะสมปัญหามาอย่างต่อเนื่อง นับจากไทยประกาศรับพันธะข้อ 8 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่มุ่งเปิดเสรีด้านการ ซื้อ-ขาย และโอนเงินเพื่อการชำระค่าสินค้า และบริการระหว่างประเทศ ตามด้วยการเปิดวิเทศธนกิจ (BIBF) ในปี 2536 ตามแผนยกชั้น กรุงเทพฯ ขึ้นเป็นศูนย์กลางทางการเงินของแบงก์ชาติ การเปิด BIBF เปรียบเหมือนการเปิดประตูให้ เอกชนกู้เงินนอกได้ง่ายขึ้น
ผนวกกับเศรษฐกิจไทยเวลานั้นถือว่า ดีมาก ๆ GDP โตกว่า 9% ทุกฝ่ายมองเห็นความเฟื่องฟูอยู่ข้างหน้าธุรกิจไทย แห่กู้เงินนอก มีทั้งกู้โดยตรงและออก หุ้นกู้แปลงสภาพ (ECD) เงินกู้ที่นำเข้ามาส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดเป็นหนี้ระยะสั้น (ใช้คืนภายใน 1 ปีโดยประมาณ)
แรงจูงใจสำตัญที่ทำให้ นักธุรกิจไทยกล้ากู้ และสถาบันการเงินต่างประเทศก็กล้าปล่อยกู้ให้ธุรกิจไทย นอกจากเศรษฐกิจที่สดใส ซึ่งทำให้คาดเดาว่าการลงทุนจะให้ผลตอบแทนที่ดีแล้ว ยังมาจากอัตราดอกเบี้ยต่างประเทศยังถูกกว่ากู้ในประเทศ และความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนแทบเป็นศูนย์ เพราะการกำหนดค่าเงินด้วยระบบตะกร้าเงิน และช่วงเคลื่อนไหวแคบทำให้ อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างบาทกับดอลลาร์สหรัฐฯ แทบจะคงที่เลยก็ว่าได้ งานศึกษาหลังวิกฤติผ่านไป พบว่าตัวเลขเงินกู้ต่างประเทศในขณะนั้นสูงกว่า 50% ของรายได้ประชาชาติ ซึ่งถือว่าเข้าสู่จุดเสี่ยง
เงินนอกที่ไหลเข้ามาเวลานั้น กดให้ตลาดดอกเบี้ยเงินกู้ระหว่างธนาคารราว 6% จาก 10% ในช่วงก่อนหน้า ส่งผลให้สภาพคล่องล้นตลาด เงินกู้หาง่าย และเงินกู้เหล่านั้น ถูกนำไปปั่นในตลาดหุ้น และตลาดอสังหาริมทรัพย์ จนราคาทรัพย์สินเหล่านั้นสูงโดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ หรือรู้จักในนาม “เศรษฐกิจฟองสบู่”
ความจริงในปี 2538 แบงก์ชาติเริ่มไหวตัวหลังพบว่าเงินนอกไหลเข้ามาในระบบ มากจนเริ่มควบคุมยากจึงงัดมาตรการ ชะลอการไหลเข้าของเงินต่างประเทศเพื่อลดปริมาณเงินแต่ไม่ได้ผล
ผนวกกับรัฐบาลเวลานั้นไม่ได้ตระหนักในสัญญาดังกล่าวว่าภัยกำลังจะมา หากยังคงวางนโยบายเศรษฐกิจแบบมุ่งโต ด้วยการประกาศเป้าหมายดันเศรษฐกิจในปี 2539 โตไม่ต่ำกว่า 10% แม้สภาวะเศรษฐกิจในปีนั้นเริ่มปริแตกให้เห็นในหลายจุด
อาทิ การส่งออกหดตัว ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่า 8% ของรายได้ประชาชาติ บริษัทหลายแห่งผิดนัดชำระหนี้กับเจ่าหนี้ต่างประเทศ รวมทั้งการปิดแบงก์กรุงเทพฯ พาณิชย์การ หรือ BBC ของกระทรวงการคลัง หลังถูกเปิดโปงธุรกรรมฉ้อฉลครั้งมหโหฬาร
จอร์จ โซรอส นักค้าเงินมากฉาญา ตั้งแต่ปีศาจไปถึงผู้ปล้นแบงก์ชาติอังกฤษ มองเห็นจุดอ่อนของเศรษฐกิจไทยและประเมินว่า สภาพเศรษฐกิจอย่างนี้ ไม่หนี ลดค่าเงิน ซึ่งเป็นโอกาสสร้างความมั่งคั่ง จึงมุ่งหาความร่ำรวยทันที ด้วยการให้กองทุนในสังกัดเข้าโจมตี “เงินบาท” ประปรายในช่วงปลายปี 2539 ก่อนถล่มชุดใหญ่ในช่วงต้นปี 2540
ตอนนั้น แบงก์ชาติ พยายาม ปกป้องเงินบาทสุดกำลัง ก่อนยกธงขาวในเดือนพฤษภาคม หลังสูญเสียทุนสำรองระหว่างประเทศ มูลค่ามหาศาลเหลือเพียง 2,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ณ มิ.ย.40) พร้อมประกาศลอยตัวค่าเงิน ด้วยการเปลี่ยนวิธีกำหนดค่าเงินบาทจากระบบตะกร้าเงินมาเป็นลอยตัวกึ่งจัดการ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540
ค่าเงินบาทที่อ่อนตัวเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ หลัง แบงก์ชาติประกาศลอยตัวค่าเงิน ส่งผลให้ธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ ไฟแนนซ์ และธุรกิจอื่น ๆจำนวนมากที่กู้เงินจากต่างประเทศ ล้มโดยพร้อมเพรียงกันทันที เพราะภาระหนี้เพิ่มพรวดแบบทวีคูณเพียงชั่วข้ามคืน
ประเทศไทยต้องกู้เงินจาก IMF มาหนุนสำรองระหว่างประเทศที่หายไปจากการทำศึกป้องเงินบาทกับกองทุนของโซรอส
ทุกวันนี้ยังมีซากอาคารร้างที่สร้างไม่จบให้เห็นในหลาย ๆ พื้นที่ อาคารที่สร้างไม่เสร็จเหล่านั้น คือร่องรอยความเสียหายจากวิกฤติต้มยำกุ้งที่ตกค้างมาถึงปัจจุบัน
ตลอดเวลาเกือบ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา วิกฤติต้มยำกุ้งยังตามหลอนคนไทย สะท้อนจากทุกครั้งที่เศรษฐกิจไทยเผชิญหน้ากับวิกฤติเช่น วิกฤติซับไพร์มในปี 2551 หรือ ล่าสุด วิกฤติโควิดในปี 2562 วิกฤติเหล่านั้นมักถูกนำมาเปรียบเทียบกับวิกฤติต้มยำกุ้งในแง่มุมต่าง ๆ ในฐานะต้นแบบของวิกฤติเศรษฐกิจอยู่เสมอ
เชื่อว่าในอนาคต จะมีวิกฤติใหม่มาให้เปรียบเทียบกับวิกฤติต้มยำกุ้งอีก ส่วนต้นตอจะมาจากวิกฤติการคลังเช่นที่หลายฝ่ายห่วงใย ต่อการกู้จนประชิดเพดานของรัฐบาล หรือไม่นั้น ยากจะชี้ชัด แต่โลกที่อบอวลด้วยความไม่แน่นอนในทุกวันนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
งบฯ 2568 ก่อพายุหมุน หรือเติมความเสี่ยงให้เศรษฐกิจ