ในเวทีเสวนาที่รวมตัวแทนจาก 3 ขั้วอุตสาหกรรม ทั้งภาคเกษตรกรรมดั้งเดิม วงการวิจัยดาราศาสตร์ และยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีระดับโลก ได้สะท้อนภาพอนาคตของประเทศไทย และย้ำประเด็นสำคัญที่ถูกขีดเส้นใต้ซ้ำ ๆ คือ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ไม่ใช่เทรนด์เทคโนโลยีไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ชี้ชะตาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แล้วประเทศไทยอยู่ตรงไหนในสมรภูมิ AI และเราต้องปรับตัวอย่างไรเพื่อก้าวไปข้างหน้า
มิตรผล: จากไร่อ้อยสู่โรงงานอัจฉริยะด้วยพลังของ AI
หลายคนอาจรู้จักกลุ่มมิตรผล ในฐานะผู้ผลิตน้ำตาลอันดับหนึ่งของเอเชียและอันดับ 4 ของโลก แต่ในความเป็นจริงมิตรผลได้ขยายธุรกิจไปไกลกว่านั้นมาก ครอบคลุมทั้งไฟฟ้าชีวมวล เอทานอล ไบโอพลาสติก และโลจิสติกส์ ด้วยขนาดธุรกิจกว่า 1.6 แสนล้านบาท และพนักงานราว 15,000 คนใน 9 ประเทศ อธิคม กาญจนวิภู ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงาน Digital & Technology Transformation บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด เล่าว่าเส้นทางการทรานส์ฟอร์มนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน โดยบริษัทได้เริ่มทำ Digital Transformation มากว่า 7 ปี และนำ AI เข้ามาใช้อย่างจริงจังเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หัวใจสำคัญคือปรัชญาการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
ในฝั่งต้นน้ำซึ่งใกล้ชิดกับเกษตรกรมากที่สุด มิตรผลพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับชาวไร่ ที่พวกเขาสามารถสั่งตัดอ้อยและยืนยันตัวตนผ่าน AI ได้อย่างสะดวกสบาย เบื้องหลังนั้นมิตรผลยังใช้เทคโนโลยี Smart Farming นำภาพถ่ายดาวเทียมมาวิเคราะห์ร่วมกับ AI เพื่อติดตามการเจริญเติบโตของอ้อยในแต่ละแปลง และคาดการณ์ผลผลิต (Yield) ที่จะเกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งต่อไปยังทีมส่งเสริมชาวไร่เพื่อให้คำแนะนำแก่เกษตรกรในการปรับปรุงการเพาะปลูกให้ได้ผลผลิตและรายได้สูงสุด
ขณะที่ในฝั่งกลางน้ำหรือโรงงานมีการนำ IoT Sensors และ AI เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างเป็นรูปธรรม ตัวอย่างที่ชัดเจนคือธุรกิจเอทานอลที่นำ AI เข้ามาช่วยติดตามและควบคุมกระบวนการหมักของยีสต์แบบเรียลไทม์เพื่อให้ได้ผลผลิตสูงที่สุด ซึ่งเป็นกระบวนการที่ในอดีตต้องพึ่งพาประสบการณ์ของบุคลากรเป็นหลัก
แม้จะมีการนำ AI ไปใช้อย่างกว้างขวาง แต่มิตรผลมีทีมงานด้าน AI โดยตรงเพียง 15 คนเท่านั้น บริษัทแก้ปัญหานี้ด้วยการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพื่อดึงนักศึกษาที่มีศักยภาพเข้ามาร่วมทำโครงการ ควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะ (Upskill) ให้กับพนักงานภายใน โดยเฉพาะวิศวกรที่สามารถเรียนรู้ได้เร็ว และยังจัดกิจกรรม AI Hackathon เพื่อสร้างวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรมและเฟ้นหาบุคลากรใหม่ ๆ เข้าสู่องค์กร
จากความพยายามทั้งหมดนี้ ทำให้ในปีที่ผ่านมามิตรผลสามารถสร้างผลกระทบทางธุรกิจ (Business Impact) จากการเพิ่มรายได้และลดต้นทุนได้ถึง 690 ล้านบาท
“ถ้าเรายังทำดิจิทัลและดาต้าได้ไม่เข้มแข็ง AI ก็จะทำได้ยาก เหมือนกับมีหนี้ที่จะต้องมาชดใช้ ซึ่งเป็นการย้ำเตือนว่าการวางรากฐานข้อมูลที่ดี คือหัวใจที่แท้จริงสู่ความสำเร็จของ AI”
NARIT: เมื่อข้อมูลมหาศาลจากอวกาศทำให้ AI ‘ไม่ใช่ทางเลือก’
ดร.อุเทน แสวงวิทย์ CIO และรักษาการผู้จัดการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NARIT กล่าวว่า ภารกิจของดาราศาสตร์ไม่ใช่แค่การดูดาว แต่คือการเป็นงานวิจัยแนวหน้าที่ขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อไขปริศนาของจักรวาล ตั้งแต่เรื่องสสารมืดไปจนถึงจุดกำเนิดของเอกภพ เทคโนโลยีใกล้ตัวอย่าง Wi-Fi ก็มีรากฐานมาจากดาราศาสตร์วิทยุ หรือเซ็นเซอร์กล้อง CCD ในสมาร์ทโฟนทุกเครื่อง ก็พัฒนามาจากความต้องการของวงการดาราศาสตร์ก่อนทั้งสิ้น
เพื่อภารกิจนี้ประเทศไทยได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่แพ้ชาติใดในภูมิภาค โดยมีกล้องโทรทรรศน์แห่งชาติขนาด 2.4 เมตรบนดอยอินทนนท์ ซึ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเรือธง
นอกจากนี้ NARIT ยังมีเครือข่ายกล้องโทรทรรศน์หุ่นยนต์ควบคุมทางไกลติดตั้งอยู่ทั่วโลก ตั้งแต่ชิลีไปจนถึงสหรัฐอเมริกาทำให้สามารถพูดได้ว่า “ดวงอาทิตย์ไม่เคยขึ้นในดินแดนของ NARIT” เพราะนักวิจัยและนักศึกษาไทยสามารถทำงานวิจัยได้ตลอด 24 ชั่วโมง
โครงสร้างพื้นฐานระดับโลกนี้เองที่นำมาสู่ความท้าทายมหาศาล นั่นคือ “ปริมาณข้อมูล” ยกตัวอย่างโครงการ Go-To Network ซึ่งเป็นเครือข่ายกล้องโทรทรรศน์ 32 ตัวที่ใช้ติดตามต้นกำเนิดของคลื่นความโน้มถ่วง สามารถผลิตข้อมูลได้มากถึง 7 เทราไบต์ต่อคืน
“สำหรับดาราศาสตร์ AI ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่ต้องมี (The Must) เพราะหากไม่มี AI นักดาราศาสตร์จะถูก “ทับถมด้วยข้อมูล” จนไม่สามารถทำงานวิจัยได้”
AI ถูกนำมาใช้ประมวลผลข้อมูลเหล่านั้นเพื่อค้นพบดาวเคราะห์น้อย หรือตรวจจับการระเบิดของดาวฤกษ์ (Supernova) ซึ่งเป็นผลงานของนักวิจัยและนักศึกษาไทย ความรู้เหล่านี้แม้จะดูไกลตัว แต่ก็เป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้เทคโนโลยีอย่าง GPS สามารถระบุตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนใช้ในชีวิตประจำวัน
IBM: สัญญาณเตือนถึงไทยและหลักคิด ‘อย่าเป็นค้อนที่วิ่งหาตะปู’
อโณทัย เวทยากร กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไอบีเอ็ม ประเทศไทย กล่าวว่า IBM บริษัทที่มีอายุถึง 114 ปี ไม่ใช่แค่ทรานส์ฟอร์ม ผ่านการปฏิวัติ (Revolutionize) ตัวเอง โดยเปลี่ยนวัฒนธรรมจาก “IBM Way” ที่มีวินัยสูงแต่เชื่องช้า มาสู่ “The Geek Way” ที่ขับเคลื่อนด้วยความเร็วและเทคโนโลยีล้ำสมัย จนปัจจุบัน IBM มีทิศทางที่ชัดเจนใน 3 เรื่องหลักคือ AI, Hybrid Cloud และ Quantum Computing
รายงานของธนาคารโลกระบุว่า “ประเทศไทยล้มเหลวในการนำ AI มาสร้างนวัตกรรม แม้จะมีแผนจากภาครัฐถึง 7 แผน แต่สัดส่วนบุคลากรที่ใช้ AI สร้างนวัตกรรมอย่างจริงจังกลับอยู่ที่ 6% เท่านั้น เทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์ (68%) อินโดนีเซีย (74%) เวียดนาม (84%) หรือมาเลเซียที่สูงถึง (98%)
อโณทัยย้ำว่า นี่คือ Wake-up Call ของประเทศ ปัญหาสำคัญคือการขาดแคลนบุคลากรอย่างรุนแรง มีตำแหน่งงานด้าน AI Engineer เปิดรับกว่า 80,000 ตำแหน่ง แต่ยังไม่สามารถหาคนมาเติมเต็มได้
อโณทัย กล่าวว่า สิ่งแรกที่ต้องเลิกคือการเป็น “ค้อนที่วิ่งหาตะปู” หรือการมีเทคโนโลยีแล้วค่อยวิ่งหาปัญหามาแก้ แต่ต้องเริ่มจากโจทย์ทางธุรกิจหรือ Pain Point เป็นหลัก สองคือต้องเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ เพราะความเร็วคือปัจจัยชี้ขาด โดยใช้แนวทาง “Start small, scale fast” เริ่มจากโครงการเล็ก ๆ แล้วขยายผลอย่างรวดเร็ว และสุดท้ายที่สำคัญอย่างยิ่งคือ AI ที่มีความรับผิดชอบ (Responsible AI) ทุกองค์กรต้องมีคณะกรรมการกำกับดูแล (Governance Body) เพื่อควบคุมด้านจริยธรรม ความเป็นส่วนตัว และการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อให้การเติบโตของ AI เป็นไปอย่างยั่งยืนและถูกต้อง
–IBM ชี้ ‘ควอนตัม+AI’ กุญแจแก้ปัญหายากที่สุดของโลก
AI ได้แทรกซึมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทุกอุตสาหกรรมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นองค์กรที่จับต้องได้ใกล้ตัวอย่างมิตรผล หรือหน่วยงานวิจัยขั้นสูงอย่าง NARIT ต่างก็มองว่า AI คือเครื่องมือที่จำเป็นต่อการอยู่รอดและเติบโต เทรนด์ในอนาคตที่กำลังจะมาถึงคือ Agentic AI ที่ AI จะไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือ แต่จะทำงานร่วมกับมนุษย์เสมือนเป็นเพื่อนร่วมงานหรือแผนกหนึ่งในองค์กร
คำถามสุดท้ายที่สำคัญที่สุด “เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว แต่วิธีคิดของเราเปลี่ยนไวแค่ไหน” นี่คือการบ้านข้อใหญ่สำหรับผู้ประกอบการและคนไทยทุกคน ที่จะต้องนำไปขบคิดและลงมือทำตั้งแต่วันนี้
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
‘Daisy.io’ แพลตฟอร์ม AIoT เพื่อการประมวลผลที่ Edge
‘เมืองเดือด’ ทางรอดกรุงเทพฯด้วยนวัตกรรมและ Smart City