ในโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องราวความสำเร็จของเทคโนโลยี เรามักเห็นแต่ภาพเบื้องหน้าอันสวยหรู แต่จะมีกี่ครั้งที่เราได้เรียนรู้จากเบื้องหลังที่เต็มไปด้วยการลองผิดลองถูก ความท้าทาย และการต่อสู้ของคนที่ลงมือทำจริง
เรื่องราวของ 4 ผู้บุกเบิกในวงการ Internet of Things หรือ IoT ของไทย ที่ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์บนเวที NETPIE คือภาพจำลองของการเดินทางที่เทคโนโลยีหนึ่ง ๆ ต้องเผชิญ จากของเล่นของคนกลุ่มเล็ก ๆ สู่เครื่องมือที่สร้างผลกระทบในวงกว้าง และนี่คือบทเรียนล้ำค่าที่ซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัดของเรื่องเล่าเหล่านั้น
บทเรียนที่ 1: นวัตกรรมที่ดีที่สุดมักเกิดในยามที่ขาดแคลน
ภาพที่ชัดเจนที่สุดของบทเรียนนี้คือเรื่องเล่าของ ธีรพงศ์ ละออ จากการประปาส่วนภูมิภาค ที่ต้องเผชิญกับเสียงร้องเรียนเรื่องน้ำไม่ไหลที่ถั่งโถมเข้าคอลเซ็นเตอร์ทุก ๆ วัน จากสถานีผลิตน้ำขนาดเล็กที่ไม่มีงบประมาณสำหรับระบบควบคุมหรือ SCADA ราคาเกือบครึ่งล้านบาท ในภาวะที่ขาดแคลนทั้งงบประมาณและเทคโนโลยี เขากลับมองเห็นโอกาส เขาและทีมเล็ก ๆ เพียง 2-3 คน ลุกขึ้นมาศึกษาและทดลองกันเอง ใช้บอร์ด ESP8266 ราคาหลักร้อย และแพลตฟอร์มฟรีอย่าง NETPIE เพื่อสร้างระบบอัตโนมัติขึ้นมาทดแทน
แต่ความฉลาดไม่ได้อยู่แค่การเลือกใช้เทคโนโลยี แต่อยู่ที่วิธีขายไอเดีย ในยุคที่ไม่มีใครรู้จักคำว่า IoT เขาจำเป็นต้องแปลภาษเทคนิคให้เป็นภาษาที่ผู้บริหารเข้าใจ ซึ่งคำตอบในตอนนั้นคือ Thailand 4.0 การผูกไอเดียเข้ากับนโยบายระดับประเทศ ทำให้เขาได้งบประมาณมาไม่ถึง 30,000 บาท เพื่อแก้ปัญหาที่เคยต้องใช้งบถึง 450,000 บาท
เรื่องราวของธีรพงศ์จึงเป็นมากกว่าแค่ความสำเร็จในการลดต้นทุน แต่มันคือบทพิสูจน์ว่านวัตกรรมที่ทรงพลังที่สุดมักจะถือกำเนิดจากคนหน้างานที่เข้าใจปัญหาอย่างแท้จริง และลุกขึ้นมาแก้ไขภายใต้ข้อจำกัดแสดงให้เห็นว่าพลังขับเคลื่อนที่แท้จริงในองค์กรอาจไม่ได้มาจากโครงการใหญ่โตเสมอไป แต่อาจซ่อนอยู่ในโครงการใต้ดินเล็ก ๆ ที่รอเพียงพื้นที่และความไว้วางใจให้ได้ทดลอง
บทเรียนที่ 2: ไอเดียที่ไร้มาตรฐานคือความสำเร็จที่เปราะบาง
เมื่อโครงการกองโจรเริ่มประสบความสำเร็จในหลายพื้นที่ ปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้น นั่นคือความสะเปะสะปะทางเทคนิคและความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ชวัลวิทย์ พูลศรี จากการประปาส่วนภูมิภาค รู้ดีว่าความสำเร็จแบบนี้เปราะบางและไม่ยั่งยืน เขาจึงเริ่มภารกิจที่ยากกว่าการสร้างเทคโนโลยี นั่นคือการสร้างวัฒนธรรมและมาตรฐาน
เขาเริ่มต้นด้วยการทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำ คือเสนอตัวจัดหลักสูตรอบรม IoT ภายในองค์กร โดยมีพวกผมเองเป็นวิทยากร พร้อมให้เหตุผลว่า คนในประปาเก่งเรื่องน้ำที่สุดแล้ว เราแค่ต้องเรียนรู้เครื่องมือใหม่คือ IoT เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของให้คนในองค์กร แต่การต่อสู้ที่แท้จริงคือการผลักดันให้เกิดมาตรฐานกลางที่เป็นรูปธรรม เขาต้องใช้เวลาถึง 5 ปี ในการสร้างระบบ Private Server ให้สอดคล้องกับนโยบายความปลอดภัย ออกแบบโปรโตคอลการสื่อสาร และพิสูจน์กับผู้บริหารทุกระดับ จนในที่สุดมาตรฐานที่เกิดจากกองโจรก็ได้รับการยอมรับทั่วทั้งองค์กร
เส้นทาง 5 ปีของชวัลวิทย์ได้ฉายภาพความจริงอีกด้านหนึ่งของการสร้างนวัตกรรม ว่าความสำเร็จจากไอเดียที่ยอดเยี่ยมนั้นเปราะบางอย่างยิ่งหากปราศจากการวางรากฐานที่มั่นคง นี่คือหัวใจของ Digital Transformation ที่แท้จริง ที่ไม่ใช่แค่การนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ แต่คือการต่อสู้อันยาวนานเพื่อปรับเปลี่ยนกระบวนการและวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งเป็นบททดสอบความเป็นมืออาชีพที่แท้จริงของผู้ที่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
บทเรียนที่ 3: สร้างคนให้ตรงโจทย์คือทางลัดของการพัฒนา
ในขณะที่หลายองค์กรกำลังบ่นว่าขาดแคลนบุคลากร ว่าที่ร้อยตรี ศิฎภัต ธรรมเกสร หรืออาจารย์เต้ย จากวิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ ได้แสดงให้เห็นถึงทางลัดของการพัฒนา นั่นคือการสร้างคนให้ตรงโจทย์ เขาไม่ได้สอนนักเรียนแค่เพียงวิธีใช้ IoT แต่เขาใช้ NETPIE เป็นเครื่องมือเพื่อสอนให้เข้าใจโครงสร้างสถาปัตยกรรมเบื้องหลัง เขาย้ำว่าแพลตฟอร์มอื่นอาจใช้ง่าย แต่เราไม่เห็นเลยว่าเบื้องหลังมีอะไรบ้าง ในขณะที่ NETPIE บังคับให้ผู้เรียนต้องเข้าใจโปรโตคอล MQTT และโครงสร้างข้อมูล ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานที่ประยุกต์ใช้ได้ทุกที่
ผลลัพธ์คือเมื่อนักเรียนของเขาเข้าแข่งขัน IoT Hackathon และนำเสนอผลงานที่ใช้งานได้จริง บริษัทต่าง ๆ ไม่เพียงแค่สนใจ แต่ถึงกับติดต่อเด็กที่ไปแข่งทุกคนเพื่อจองตัวไปทำงาน พร้อมกับคำถามที่สะท้อนความต้องการอย่างแท้จริงว่า อาจารย์ครับ มีเด็กอีกไหม
ปรากฏการณ์มีเด็กอีกไหมที่เกิดขึ้นกับอาจารย์เต้ย คือคำตอบที่ชัดเจนที่สุดของปัญหาการขาดแคลนบุคลากร มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนักเรียนใช้เครื่องมือล่าสุดเป็น แต่เพราะพวกเขาเข้าใจหลักการและโครงสร้างที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่อุตสาหกรรมต้องการอย่างแท้จริง เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าทางลัดสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน คือการสร้างวงจรแห่งความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาที่มุ่งเน้นการสร้างทักษะที่ตรงจุด และภาคอุตสาหกรรมที่พร้อมเปิดรับและให้โอกาสคนรุ่นใหม่
บทเรียนที่ 4: เทคโนโลยีคือบันไดไม่ใช่ปลายทาง
เส้นทางของณัฐวีระวรรณ์จากเชียงใหม่เมกเกอร์คลับ คือตัวอย่างชั้นดีของการเติบโตที่ไม่ได้ถูกวางแผนไว้ในกรอบ เขาเริ่มต้นจากการทำเซ็นเซอร์ IoT เก็บข้อมูลฝุ่น แต่เมื่อเขามีข้อมูลในมือกว่า 3,000 ล้านจุดข้อมูล มันได้สร้างปัญหาใหม่ที่น่าสนใจกว่าเดิม นั่นคือจะทำอะไรกับข้อมูลมหาศาลนี้ คำถามนี้ได้นำเขาไปสู่บันไดขั้นต่อไป คือการศึกษาต่อด้าน Data Science และเมื่อเขาเริ่มตั้งคำถามเชิงปรัชญากับระบบยืนยันตัวตนแบบรวมศูนย์ มันก็พาเขาปีนบันไดไปสู่โลกของ Blockchain
การเดินทางนี้ขับเคลื่อนด้วยความอยากรู้อยากเห็นล้วนๆ แต่ละปัญหาที่เขาแก้ได้สำเร็จได้เปิดประตูไปสู่คำถามใหม่ที่ลึกซึ้งและท้าทายกว่าเดิม เรื่องราวของเขาบอกเราว่าทักษะทางเทคโนโลยีไม่ใช่จุดหมายในตัวเอง แต่เป็นเหมือนบันไดที่รอให้เราปีนไปค้นพบสิ่งใหม่ๆ ศักยภาพที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การเชี่ยวชาญเครื่องมือเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ความสามารถในการเชื่อมโยงความรู้ข้ามศาสตร์ และความกล้าที่จะไล่ตามคำถามในใจไปจนสุดทาง
เรื่องราวของทั้ง 4 เรื่องนี้ คือบทพิสูจน์ว่าเส้นทางของนวัตกรรมนั้นขับเคลื่อนด้วยมนุษย์ เป็นเรื่องของความมุ่งมั่น ความพากเพียร และวิสัยทัศน์ที่มองไกลกว่าปัจจุบัน และมันอาจเริ่มต้นจากคำถามง่าย ๆ ในใจคุณวันนี้ว่า
ปัญหาอะไรที่คุณอยากแก้ที่สุด และคุณจะเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ ที่มีอยู่ได้อย่างไร
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
‘Daisy.io’ แพลตฟอร์ม AIoT เพื่อการประมวลผลที่ Edge
‘Breakthrough Energy’ ชี้ Climate Tech คือโอกาสลงทุนครั้งใหญ่ในอาเซียน