Share on
×

Share

‘Deep Tech’ โอกาสและความท้าทายของไทยในเวทีโลก

ในยุคที่โลกสตาร์ตอัพขับเคลื่อนด้วยคำศัพท์อย่าง AI, Climate Tech หรือ Cryptocurrency ยังมีอีกกลุ่มของนวัตกรรมที่มีความสำคัญสูงต่ออนาคตทางเศรษฐกิจของประเทศ นั่นคือ Deep Tech หรือเทคโนโลยีเชิงลึก ซึ่งความหมาย โอกาส และความท้าทายที่ระบบนิเวศของประเทศไทยกำลังเผชิญ ได้รับการสำรวจผ่านมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ จิรพัฒน์ ฮ้อแสงชัย ผู้จัดการโครงการ New Energy Nexus รศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยมหิดล Martin Khamphoukeo, Investment Manager จาก GC Ventures บนเวทีเสวนา ‘Building a DeepTech Nation’ ในงาน Techsauce Global Summit 2025

นิยามของ Deep Tech ที่ลึกซึ้งกว่าคำว่า “เทคโนโลยี”

เมื่อเอ่ยถึงคำว่าเทคโนโลยี หลายคนอาจนึกถึงแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มดิจิทัล แต่สำหรับ Deep Tech หรือเทคโนโลยีเชิงลึก นิยามของมันมีความซับซ้อนและมีมิติที่แตกต่างออกไป

ในมุมมองของ รศ.ดร.ยศชนัน กล่าวว่า องค์ประกอบของ Deep Tech ตั้งอยู่บนสองแกนหลักที่ต้องมีควบคู่กัน แกนแรกคือ รากฐานจากงานวิจัยและนวัตกรรม (Research and Innovation) ที่เป็นการค้นพบองค์ความรู้ใหม่ทางวิทยาศาสตร์ แต่เพียงแค่นั้นยังไม่พอ แกนที่สองคือ ความสามารถในการขยายผลเชิงพาณิชย์ (Scalability) ซึ่งเป็นจุดที่แยกงานวิจัยในห้องปฏิบัติการออกจาก Deep Tech ที่นำไปใช้ได้จริง เพราะมันหมายถึงความสามารถในการนำองค์ความรู้นั้นมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตลาดต้องการ โดยกระบวนการนี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาคเอกชน นักลงทุน (VC) และภาครัฐ

NIA โชว์ 3 นวัตกรรม AI และ Deep Tech รองรับโรครักษายาก ค่าใช้จ่ายสูง

ขณะที่ Martin ได้อธิบายความแตกต่างนี้เพิ่มเติมจากมุมของนักลงทุน เขาชี้ว่า Deep Tech มีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างจากสตาร์ตอัพดิจิทัลทั่วไป

ประการแรกคือ เส้นทางที่ยาวไกลและใช้ทรัพยากรสูง (Long lead time & High resources) การเดินทางของ Deep Tech จากแนวคิดในห้องทดลอง สู่การทดสอบในระดับนำร่อง (Pilot scale) และขยายสู่ระดับอุตสาหกรรมนั้นใช้เวลายาวนานกว่า อาจกินเวลาหลายปี ซึ่งต่างจากสตาร์ตอัพดิจิทัลที่อาจเปิดตัวได้ในเวลาไม่นาน เส้นทางที่ยาวนานนี้ย่อมมาพร้อมกับความต้องการเงินทุนจำนวนมากและต่อเนื่อง

ประการที่สองคือ ความต้องการพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ (Strategic partners) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับ Deep Tech เพราะพันธมิตรที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ไม่ได้ให้แค่เงินทุน แต่ยังรวมถึงความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง โรงงานผลิต ช่องทางการตลาด และความเข้าใจในกฎระเบียบต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่สตาร์ตอัพขนาดเล็กไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ในเวลาอันสั้น

ดังนั้น Deep Tech จึงไม่ใช่แค่เทคโนโลยีที่ซับซ้อน แต่คือกระบวนการทั้งหมดของการเปลี่ยนการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ให้กลายเป็นธุรกิจที่สามารถเติบโตในเชิงพาณิชย์ได้

Deep Tech เรื่องใกล้ตัว

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น Deep Tech ได้ปรากฏเป็นนวัตกรรมที่จับต้องได้และเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันแล้วในหลายมิติ

ตัวอย่างหนึ่งคือ วัคซีน mRNA ป้องกันโควิด-19 ซึ่งเป็นกรณีศึกษาความสำเร็จของ Deep Tech การพัฒนาวัคซีนชนิดนี้เป็นการผสานกันระหว่างเทคโนโลยีชีวภาพ (แพลตฟอร์ม mRNA) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์และเร่งกระบวนการทดลองทางคลินิก (Clinical Trial) ให้สำเร็จได้ในเวลาอันสั้น เมื่อเทียบกับกระบวนการในอดีต

ในแวดวงเทคโนโลยีอาหาร (Food Tech) และความยั่งยืน Deep Tech กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน เช่น การพัฒนาเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช โดยใช้คอมพิวเตอร์และ AI ในการออกแบบและควบคุมรสชาติ เนื้อสัมผัส และคุณค่าทางโภชนาการ ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีอย่าง การดักจับคาร์บอน (Carbon Capture) ก็กำลังถูกพัฒนาเพื่อเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์อื่นที่มีมูลค่า หรือการนำของเสียจากภาคเกษตรและพลาสติกมาแปรสภาพเป็นสารเคมีและโปรตีน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีในระยะเริ่มต้นอย่าง ควอนตัม (Quantum Technology) ที่มีศักยภาพสูง เช่น เทคโนโลยี Quantum Sensing ที่อาจนำไปสู่การวัดค่าต่าง ๆ ที่มีความแม่นยำสูงขึ้น ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในวงการการแพทย์เพื่อพัฒนาเครื่องมือวินิจฉัยโรค หรือใช้สร้างระบบนำทางที่มีความเสถียรมากขึ้น
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า Deep Tech เป็นเทคโนโลยีที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาพื้นฐานในด้านต่างๆ ตั้งแต่สุขภาพ อาหาร ไปจนถึงสิ่งแวดล้อม

*KBTG เผยพันธกิจปี 2024 เป็น “บริษัท AI-First” ที่นำ Deep Tech สร้าง “บริการ Human-First” 

ระบบนิเวศ Deep Tech ของไทย

เมื่อหันกลับมามองระบบนิเวศในประเทศไทย รศ.ดร.ยศชนัน กล่าวว่า วงจรการสร้าง Deep Tech ต้องเริ่มต้นจากการมีระบบการศึกษาที่ส่งเสริมการวิจัยข้ามศาสตร์และมีความเป็นนานาชาติ เมื่อมีรากฐานที่ดีก็จะนำไปสู่การสร้างผลงานวิจัยคุณภาพสูง จุดเปลี่ยนคือการแปรสภาพงานวิจัยนั้นให้กลายเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ตลาด ซึ่งขั้นตอนนี้ต้องการผู้ประกอบการและนักลงทุนที่เข้าใจในเทคโนโลยีเข้ามาเชื่อมต่อ ก่อนจะไปสู่ขั้นตอนสุดท้ายคือการขยายผล ซึ่งต้องการมาตรฐานรองรับและเงินทุนที่พร้อมจะเติบโตไปในระยะยาว แต่ท่านก็ชี้ว่าในปัจจุบัน ประเทศไทยยังคงมี “จุดที่ไม่เชื่อมต่อ” ที่สำคัญ คือการขาดแคลนทั้งผู้ประกอบการและนักลงทุนที่เข้าใจในเทคโนโลยีเชิงลึกอย่างเพียงพอ

ในมุมมองของนักลงทุน Martin Khamphoukeo กล่าวว่า มีปัจจัยสี่ประการที่จำเป็นต่อการสร้างคลัสเตอร์ Deep Tech ซึ่งประกอบด้วยการมีงานวิจัยและบุคลากรที่มีคุณภาพ การสนับสนุนจากภาครัฐ แหล่งทุนที่ยอมรับความเสี่ยงสูงได้ และการมีพันธมิตรในภาคอุตสาหกรรมที่เข้มแข็ง ซึ่งเขามองว่าประเทศไทยยังคงมีช่องว่างในสามปัจจัยแรก โดยเฉพาะการสนับสนุนจากภาครัฐที่ยังเน้นการลงทุนจากบริษัทขนาดใหญ่มากกว่าการบ่มเพาะสตาร์ตอัพขนาดเล็ก

การจะผลักดันให้ Deep Tech ของไทยเติบโตได้นั้น สิ่งที่จำเป็นคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยโดยภาครัฐ ผ่านการปรับปรุงกฎระเบียบให้ง่ายต่อการดำเนินธุรกิจของสตาร์ตอัพ เพื่อให้ผู้ก่อตั้งสามารถมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีได้เต็มที่ ควบคู่ไปกับการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงกับระบบนิเวศในต่างประเทศเพื่อเข้าถึงเงินทุนและความรู้ และท้ายที่สุดคือการที่ภาครัฐและเอกชนร่วมกันสร้างตลาดรองรับและส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม เพื่อให้นวัตกรรมจาก Deep Tech สามารถเติบโตในประเทศได้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่อไป

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ไม่ใช่เรื่องอนาคต: ‘ควอนตัมคอมพิวเตอร์’ ขุมพลังใหม่ที่กำลังพลิกโฉมธุรกิจและ AI

‘Healthspan’ ปลายทางใหม่ของชีวิตที่ยืนยาว และเปี่ยมสุขในยุคดิจิทัล

×

Share

ผู้เขียน