ปี 2567 ไทยเบฟเปิดตัวแผน “Passion 2030″ มุ่งสู่เป้าหมายระยะยาว 6 ปี ด้วยกลยุทธ์หลัก 5 ประการ เน้นสร้างความสามารถใหม่ (Build) เสริมแกร่งธุรกิจหลัก (Strengthen) และปลดล็อกศักยภาพ (Unlock) โดยแบ่งแผนเป็นระยะสั้นและระยะยาว เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต”
แม้ความผันผวนทางเศรษฐกิจ ปัญหาการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในและนอกประเทศที่เกิดขึ้น จะส่งผลท้าทายต่อการประกอบการและการบริหารต้นทุนขององค์กรธุรกิจต่าง ๆ แต่สำหรับ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) (“ไทยเบฟ” หรือ “กลุ่ม”) ได้แสดงให้เห็นถึงผลประกอบการที่แข็งแกร่งในช่วง 9 เดือนแรก ของปี 2567 ด้วยยอดการขายรวม 217,055 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 สามารถทำกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) รวม 38,595 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 ซึ่งมาจากการมีรากฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง การบริหารต้นทุนธุรกิจ การบริหารอัตรากำไรและความเสี่ยง รวมถึงการรักษาวินัยทางการบริหารการเงินและทรัพย์สินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เดินหน้าแผน PASSION 2030
ในปี 2567 (ปี 2024) เป็นปีที่ไทยเบฟเริ่มกำหนดเป้าหมายระยะยาว 6 ปี ตามแผน “Passion 2030” โดยแบ่งเป็นแผน 3 ปี 2 ระยะ เพื่อให้การทำแผนธุรกิจระยะสั้นและระยะกลางมีความสอดคล้องกัน อาทิ การเข้าซื้อกิจการและการควบรวมกิจการ การลงทุนสร้างโรงงาน ซึ่งอาจยังไม่เห็นผลตอบแทนกลับมาในทันที ขณะที่แผนระยะยาว เน้นเรื่องประสิทธิภาพของทรัพยากรบุคคล การพัฒนาและปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีไอทีไปตามความเหมาะสม เพื่อส่งเสริมขีดความสามารถและโอกาสทางธุรกิจใหม่ (Build) เสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก (Strengthen) และนำศักยภาพที่มีมาก่อให้เกิดมูลค่าสูงสุด (Unlock) ด้วย 5 กลยุทธ์หลัก
1) Growth & Strong Financials การเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างศักยภาพด้านการเงินที่แข็งแกร่ง และสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น
2) Diversity การพัฒนาความหลากหลายของตลาดและผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในทุกช่วงวัยและทุกช่วงเวลา
3) Brands การพัฒนาตราสินค้าให้มีความแข็งแกร่งทั้งตลาดในประเทศและระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสุรา ธุรกิจเบียร์ ธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์
4) Reach เน้นการสร้างเครือข่ายการขายและกระจายสินค้าที่แข็งแกร่ง ผ่านระบบซัพพลายเชนของบริษัท และการสร้างพันธมิตรธุรกิจในการกระจายสินค้าที่มีประสิทธิภาพ
5) Professionalism สร้างความเป็นมืออาชีพ โดยมุ่งมั่นพัฒนาทีมงานที่หลากหลาย สามารถบูรณาการการทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น รวมถึงการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อส่งเสริมศักยภาพการผลิตให้ได้มาตรฐานระดับโลก
ขับเคลื่อนด้วย Reach Competitively & Digital for Growth
ฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารไทยเบฟ กล่าวถึงโจทย์ใหญ่ของธุรกิจไทยเบฟ 2 ข้อ ในการสร้างแรงผลักดันเชิงกลยุทธ์ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย PASSION 2030 ได้แก่ “การเข้าถึงศักยภาพด้านการแข่งขัน (Reach Competitively)” ทั้งมุมมองด้านการตลาด การจัดวางพื้นที่ประกอบการค้า รวมถึงการพัฒนาแพลตฟอร์มในการเชื่อมโยงธุรกิจโดยวางเป้าการเติบโตไปสู่การเป็น Multi Local Champion หมายถึง การเป็นที่หนึ่งในการผลิตสินค้าที่หลากหลายภายในประเทศ การเป็นผู้นำด้านธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในภูมิภาคอาเซียน ตลอดจนผลักดันกลุ่มไทยเบฟสู่การเป็น “ธุรกิจเพื่อความยั่งยืน” ตามพันธสัญญาขององค์กรเรื่อง ESG
ส่วนในมิติของ “ดิจิทัลเพื่อสร้างการเติบโต (Digital for Growth)” เน้นเติมเต็มพอร์ตโฟลิโอขององค์กรให้สมบูรณ์ด้วยการนำเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการ การพัฒนาองค์กรและกระบวนการทางธุรกิจ การพัฒนาบุคลากรและการสร้างทาเลนต์ (Talent) โดยตลอดระยะเวลา 6 ปี จนถึงปี 2030 (ปี 2573) ยังมีการกำหนด Milestones เพื่อควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนในแต่ละปีด้วย
ยกตัวอย่าง ลูกค้ายุคปัจจุบันจัดเป็น Smart Consumer ที่ต้องการสินค้าและบริการที่สนองความต้องการอย่างรวดเร็วและโดนใจ อดทนในการรอคอยน้อยลงเพราะพวกเขามีทางเลือกมากขึ้น จึงต้องมีการจัดทำเป้าหมายและแผนธุรกิจที่มีรายละเอียด และมีความชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิม ดังนั้น ศักยภาพในการแข่งขันที่กล่าวถึง นอกจากสร้างการบริการให้เป็นที่ประทับใจแล้ว การกำหนดราคาสินค้าให้จับต้องได้ ตัวสินค้าต้องดีและครบครัน ส่วนการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลทำให้เกิดช่องทางการสื่อสาร หรือการเชื่อมโยงอุปกรณ์หรือดีไวซ์ต่าง ๆ ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิต เช่น สมาร์ตโฟน เพื่อการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างและหลากหลาย
ต่อยอดธุรกิจแบบ Co-creation

ภายใต้แผนงาน PASSION 2030 ตามปีงบประมาณ 2568 (ต.ค.67-ก.ย.68) ไทยเบฟวางเป้าหมายการลงทุนรวม 18,000 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากงบลงทุนเดิมที่ใช้อยู่ราว 5,000-7,000 ล้านบาท ในทุก ๆ ปี โดยโฟกัสไปที่การลงทุนหลัก ได้แก่ การใช้งบประมาณราว 8,000 ล้านบาท สำหรับโครงการ ““Agri Valley Farm” ที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นธุรกิจฟาร์มโคนมขนาดใหญ่ของบริษัท เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ, ลิมิเต็ด (“F&N”) โดยการสวอปหุ้นเข้ามาอยู่ในพอร์ตของไทยเบฟ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์และผลิตภัณฑ์นม
การลงทุนต่อเนื่องในโครงการก่อสร้างโรงงานในประเทศกัมพูชา ด้วยงบลงทุนราว 2,500 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจผลิตนม ธุรกิจชาเชียวพร้อมดื่ม และธุรกิจเบียร์
การขยายตลาดสุราโดยการเข้าซื้อกิจการ Grand Royal Group ผู้เล่นรายใหญ่สุดในตลาดสุราของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา การเข้าซื้อกิจการ Larsen Cognac ประเทศฝรั่งเศส เพื่อขยายผลิตภัณฑ์สุราระดับพรีเมียม การเข้าซื้อกิจการ Cardrona Distillery ประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งนับเป็นก้าวแรกของกลุ่มไทยเบฟในการเข้าสู่ตลาด Cognac และสุราโลกใหม่ (New World Spirits)
การพัฒนาตลาดธุรกิจเบียร์ที่นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์ที่เป็นตราสินค้าหลักในไทย คือ เบียร์ช้าง ยังเข้าซื้อกิจการ Saigon Beer-Alcohol-Beverage Corporation (SABECO) ผู้นำในตลาดเบียร์ของเวียดนาม ส่งผลให้ไทยเบฟก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่ที่สุดในอาเซียน
การลงทุนในกลุ่มธุรกิจอาหารที่ครอบคลุมทั้งอาหารญี่ปุ่น จีน ไทย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันตก รวมถึงธุรกิจแฟรนไชส์ เช่น KFC ทำให้ไทยเบฟกลายเป็นหนึ่งในผู้นำด้านธุรกิจอาหารของประเทศ
ฐาปน กล่าวว่า ไทยเบฟมองการเข้าถึงแบบมีกลยุทธ์ (Strategic Approach) ที่ลงลึกในระดับการดำเนินงานหรือการดำเนินธุรกิจที่ให้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจแก่ประเทศนั้น ๆ ด้วย ในลักษณะที่เรียกว่าเป็น “Co-creation” ยกตัวอย่าง โครงการ Agri Valley Farm ส่วนหนึ่งมาจากการที่ประเทศมาเลเซียมีนโยบายในการนำเข้านมสดน้อยลง จึงตัดสินใจลงทุนในฟาร์มโคนมเพื่อเป็นการสนับสนุนธุรกิจของบริษัท และส่งผลพลอยได้ในการรองรับอุปสงค์ของการบริโภคนมในประเทศอีกทางหนึ่งด้วย หรือ โครงการความร่วมมือกับภาครัฐของมาเลเซีย ในมิติของการเป็นศูนย์กลางอาหารฮาลาล (Halal Hub) ซึ่งสามารถเชื่อมโยงขยายผลไปยังประเทศอินโดนีเซียและบรูไน
“เรามองภาพรวมการค้าเป็น 2 มิติ เรื่องแรก คือ การมีสินค้าที่มีคุณภาพ สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้าทุกกลุ่ม และทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นในตราสินค้าของเรา เรื่องที่สอง คือ เมื่อเรามีฐานสินค้าที่หลากหลายและมีคุณภาพดีแล้ว ต้องเร่งสร้างห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ให้เกิดขึ้นในโมเดลธุรกิจของเรา จึงเป็นเหตุผลที่ต้องเน้นย้ำถึงการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล และการเข้าถึงศักยภาพการแข่งขัน ทั้งการค้าในประเทศ การค้าข้ามพรมแดน หรือการค้าในระดับต่างประเทศที่ไม่ได้จำกัดแค่เพียงตลาดกลุ่มอาเซียน แต่ยังมองไกลถึงภาพรวมตลาดในกลุ่มอาเซียน+3 หรือกลุ่มอาเซียน+6 ด้วย”
นำความยั่งยืนด้าน F&B สู่อาเซียน

การพัฒนาธุรกิจเครื่องดื่มและอาหาร (F&B) เพื่อตอบโจทย์ความยั่งยืน หรือ ESG เป็นหนึ่งในแผนงานตามเป้าหมาย Passion 2023 โดยมีพันธกิจในการสร้างสรรค์การดำเนินงานที่ยั่งยืน และเพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ทั้งทางตรงและทางอ้อม ในปี 2583 ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงงานผลิตสุรา โรงงานผลิตเบียร์ โรงงานผลิตน้ำดื่ม และเครื่องดื่มต่าง ๆ เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ให้กับโรงงาน 40 แห่งในประเทศ การนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ในองค์กร การลดการดึงน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ การนำขยะอาหารหรือของเสียกลับมาใช้ใหม่ เป็นต้น
หากมองย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีก่อน ไทยเบฟเคยมีแผนในการุกตลาดด้านอีวี แต่ในปัจจุบันได้หันมาให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำ ล่าสุดได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงกับบริษัทเอสซีจีและซีพี เพื่อร่วมสืบสานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อความสมดุลและยั่งยืน เริ่มจากปีนี้ไปจนถึงปี 2570 อันเป็นปีแห่งการเทิดพระเกียรติวาระครบรอบ 100 ปีวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ในหลวงรัชกาลที่ 9) สอดคล้องกับการที่กระทรวงศึกษาธิการได้เดินเรื่องเสนอต่อ UNESCO เพื่อยกย่องพระองค์ท่านเป็นบุคคลสำคัญของโลก
ส่วนความสำเร็จด้านความยั่งยืนของไทยเบฟที่ได้รับการการันตีในระดับสากล อาทิ การได้รับรางวัล “Top 1% S&P Global Corporate Sustainability Assessment (CSA) Score” ในฐานะบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่ได้คะแนนสูงสุดในหมวดธรรมาภิบาล เศรษฐกิจ และสังคม และได้คะแนนเป็นอันดับสองในหมวดสิ่งแวดล้อม การได้รับการจัดอันดับเป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มระดับโลกจากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ DJSI อีกทั้งเป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนี DJSI World และ DJSI Emerging Markets การได้รับคะแนนระดับ A- ด้านการบริหารการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการบริหารจัดการน้ำ ในปี 2566 จากการประเมินของสถาบันประเมินความยั่งยืน Carbon Disclosure Project (CDP)
“เราให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อมุ่งสู่อนาคตการเป็นผู้นำด้านอาหารและเครื่องดื่มครบวงจรที่มั่นคงและยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน (Stable and Sustainable ASEAN Leader)” ฐาปน กล่าวสรุป
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
สัญญาณเตือนจากโลก ถึงเวลาที่มนุษย์ต้องเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
SCGJWD เดินหน้าเสริมแกร่งธุรกิจ ขยายตลาดห้องเย็นด้วยแนวคิดโลจิสติกส์สีเขียว