ปี 2567 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกเต็มไปด้วยเหตุการณ์สำคัญในหลายด้าน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด มีแผนการลงทุนเกี่ยวกับรับมือความผันผวนด้วย Global ETF การใช้อัลกอริทึมผ่าน Modern Portfolio Theory จัดสรรน้ำหนักทรัพย์สินให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่นักลงทุนสามารถรับได้ และการใช้ AI ในการจัดการพอร์ตลงทุนผ่าน Jitta Ranking Alpha เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ทำให้นักลงทุนได้รับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก พร้อมกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยวางแผนการลงทุนได้อย่างมีระบบมากขึ้น
ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด กล่าวว่า ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกสะท้อนการเปลี่ยนแปลงที่หลากหลาย Jitta Wealth ได้พัฒนาผลงานต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์นักลงทุน ในปีนี้ตลาดแต่ละประเทศจะเป็นอย่างไร และตลาดไหนน่าลงทุน
ทั้งนี้ อัลกอริทึมใหม่ของ Jitta พร้อมเข้ามาช่วยวิเคราะห์ปัญหาที่นักลงทุนเจอ ทั้งด้านความสับสนจากข้อมูลที่มากมาย และคำถามว่าจะลงทุนที่ไหนดี จึงได้รวบรวมข้อมูลและพัฒนาอัลกอริทึมเพื่อช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้แล้ว
ปี 2567 แม้ตลาดหุ้นจะร่วงแรงในวันนั้น แต่สถานการณ์ก็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
2567 เป็นอีกหนึ่งปีที่ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและเหตุการณ์สำคัญในหลายด้าน ช่วงต้นปีตลาดหุ้นเหมือนจะเริ่มต้นได้ดี แต่กลับต้องพบกับความผันผวนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศที่เกาหลีและซีเรีย
แม้กระทั่งเหตุการณ์สำคัญที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลกเริ่มต้นด้วย Black Monday ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงแรงจาก Carry Trade โดยดัชนี TOPIX Index ในญี่ปุ่นปรับลดลงถึง -12.2% ภายใน 1 วัน สกุลเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) มีอัตราการขึ้นดอกเบี้ย และสหรัฐอเมริกามีการลดดอกเบี้ย ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรของอเมริกากับญี่ปุ่นแคบลง นักลงทุนที่ทำ JPY Catty Trade หรือกู้เงินเยนไปลงทุนทรัพย์สินต่าง ๆ ทั่วโลก จึงต้องทยอยขาย (Divided) ออกแม้ตลาดหุ้นจะร่วงแรงในวันนั้น แต่สถานการณ์ก็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และในที่สุดตลาดหุ้นอเมริกาก็กลับสู่ภาวะปกติ
จีน เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีบทบาทสำคัญ โดยเริ่มต้นปีด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อพยุงอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหุ้นจีนปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ในช่วงวันชาติ เศรษฐกิจแบบแจกแพคเกจชุดใหญ่ ส่งผลให้หุ้นจีนหลายตัวปรับขึ้นกว่า 50% ในระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์ แม้ในปัจจุบันตลาดจะเริ่มปรับฐาน แต่แนวโน้มการกระตุ้นเศรษฐกิจจากจีนยังคงมีต่อเนื่องในปีหน้า โดยเฉพาะเพื่อรองรับสถานการณ์ทางการค้าและการเมืองที่เปลี่ยนแปลง
สหรัฐฯ มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยถึง 2 ครั้งในปี 2567 ส่งผลให้ดัชนี S&P 500 วิ่งขึ้นสู่ระดับ all-time high อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเงินทุนเริ่มไหลออกจากพันธบัตรเข้าสู่ตลาดหุ้นมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีแรงกดดันทางการเมืองจาก Donald Trump ซึ่งแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากนัก ผลักดันให้ธนาคารกลางลดดอกเบี้ยเพิ่มอีกเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ
ผลตอบแทนเฉลี่ยของ Global ETF จากจิตตะ เวลธ์ ปี 2567
นโยบายการลงทุนของ จิตตะ เวลธ์ เป็นไปได้ด้วยดีโดยเฉพาะ Global ETF เป็นแผนที่แนะนำนักลงทุนเบื้องต้น ภายใต้กลยุทธ์การจัดสรรทรัพย์สินแบบ Asset Allocation กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก ด้วยการใช้ตัวอัลกอริทึมผ่าน Modern Portfolio Theory จัดสรรน้ำหนักทรัพย์สินให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่นักลงทุนสามารถรับได้ ผลลัพธ์ในปี 2567 แบ่งตามแผนการลงทุนดังนี้
- แผนเติบโต ลงทุนในหุ้น 80% และพันธบัตร 20% ได้ผลตอบแทน +17.1% โดยผลตอบแทนที่คาดหวังอยู่ที่ 8% ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
- แผนสมดุล ลงทุนในหุ้น 50% และพันธบัตร 50% ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย +12.06% โดยมีผลตอบแทนที่คาดหวังอยู่ที่ 6% ต่อปี
- แผนพอเพียง ลงทุนในหุ้น 20% และพันธบัตร 80% ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย +6.47% โดยมีผลตอบแทนที่คาดหวังอยู่ที่ 4% ต่อปี
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ จิตตะ เวลธ์ เริ่มขยายการลงทุนไปยังกลุ่มนักลงทุนแมส พบว่าหลายคนไม่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง จึงแนะนำ Asset Allocation เป็นพอร์ตเริ่มต้น โดยเน้นการกระจายความเสี่ยงและลงทุนแบบ DCA ระยะยาว ซึ่งช่วยให้นักลงทุนมีกำไร จากข้อมูลพบว่าผู้ลงทุนใน Global ETF เกิน 3 ปีขึ้นไปมีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไม่มีใครขาดทุน ถือเป็นแผนการลงทุนที่จัดสรรน้ำหนักการลงทุนได้ดี
และยังพบว่าผลตอบแทนเฉลี่ย Thematic ตั้งแต่ต้นปี 2567 นักลงทุนต่างสนใจรูปแบบการลงทุนในธีมที่มีผู้จัดการพอร์ต (อัลกอริทึม) Thematic OPTIMIZE มากถึง +14.68% และรูปแบบการลงทุนที่ผู้ลงทุนสามารถเลือกธีมที่สนใจได้ด้วยตัวเอง Thematic DIY +11.6% จากตัวเลขเป็นสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า AI ได้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยดีกว่าที่นักลงทุนเลือกธีมที่สนใจได้ด้วยตัวเอง
ผลตอบแทนเฉลี่ย Jitta Ranking ตั้งแต่ต้นปี 2567
ปี 2567 มีผลตอบแทนโดยรวมที่ค่อนข้างดี โดยเฉพาะ Jitta Ranking จากตัวเลขหุ้นสหรัฐฯ +28.83% รองลงมาเป็นเทคโนโลยีจีน +18.14% เวียดนาม +15.8% เทคโนโลยีสหรัฐฯ +14.75% สุขภาพสหรัฐฯ +11.97% จีน +9.74% ฮ่องกง +4.94% ซึ่งมีติดลบ 2 ประเทศ คือญี่ปุ่น -11.28% และไทย -15.5%
ปี 2568 เศรษฐกิจตลาดหุ้นโลกจะเกิดอะไรบ้าง
ตราวุทธิ์ พูดถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่า 1) ทรัมป์เล็งการปรับลดภาษี รายได้บริษัทและการต่ออายุนโยบาย Tax cut ในปี 2560 ที่ลดภาษีเงินได้ 2) เล็งปรับลดภาษี Corporate Tax ลงเหลือ 20% และอาจเหลือเพียง 15% หากบริษัทที่ผลิตสินค้าอยู่ภายในสหรัฐฯ 3) ปรับเพิ่มภาษี 10-20% สำหรับสินค้านำเข้าและหากนำเข้าจากจีนภาษีอาจสูงถึง 60% กดดันเงินเฟ้อ และ 4) มีความเข้มงวดกับนโยบาย Immigration มากขึ้น แรงงานในประเทศอาจลดลงดันราคาสินค้าสูงขึ้น
มุมมองภาพรวมเศษฐกิจ สหรัฐฯ จะเห็นได้ว่ายังสามารถเติบโตได้ แม้ว่าตลาดหุ้นจะเผชิญกับความผันผวน โดยคาดว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวในระดับกลาง ไม่ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงหรือพุ่งสูงมากเกินไป นักลงทุนยังมีโอกาสสร้างผลกำไรได้ แม้ว่าอาจไม่สูงนัก อย่างไรก็ตาม หากเน้นการลงทุนในบางประเภทที่มีศักยภาพ อาจสามารถทำกำไรได้ในระดับที่น่าพอใจมากขึ้น
เศรษฐกิจจีน
ด้านเศรษฐกิจจีนในปีนี้ ตราวุทธิ์คาดการณ์ว่า จีนเปลี่ยนรูปแบบนโยบายการเงินจากที่ “เข้มงวด” เป็นผ่อนคลายปานกลางตั้งแต่ต้นปี 2568 เป็นต้นไป ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งแรกตั้งแต่ปี 2554 โดยตั้งแต่ต้นปี 2567 จีนได้ลดอัตรา Requirement Reserve Ratio (RRR) เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ลดอัตราดอกเบี้ยเงินดาวน์สำหรับการซื้อบ้านหลังที่สอง ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (LPR) และคาดว่าจะยังมีเพิ่มเติมอีกในปี 2568
นอกจากนี้จีนยังเตรียมนโยบายทั้งการคลังและการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อเตรียมรับมือสงครามการค้ารอบ 2
มุมมองภาพรวมเศษฐกิจ จีน คาดการณ์ว่าจะยังสามารถเติบโตได้ แต่จะเติบโต 5% หรือไม่ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยคิดว่ารัฐบาลจีนพยายามทำให้ดีที่สุด เริ่มการหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น มีแบรนด์จีนต่าง ๆ เกิดมากขึ้น และคาดการณ์ว่าจีนจะเริ่มเติบโตจากสินค้าอุปโภค บริโภคหลากหลายประเภทในอนาคต
เศรษฐกิจฮ่องกง
สำหรับเศรษฐกิจฮ่องกง ตราวุทธิ์ กล่าวว่า P/E ปัจจุบันของ S&P 500 อยู่ที่ 27 เท่า แต่ HSI อยู่ที่ 9.8 เท่า ซึ่งถือว่ายังถูกมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่พัฒนาแล้ว (ข้อมูล ณ วันที่ 9/12/2567) ขณะที่ตลาดหุ้นได้รับสัญญาณจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของจีน แผ่นดินใหญ่ เพราะบริษัทจดทะเบียนในตลาด (H-shares) มีอยู่เป็นจำนวนมาก
โดยคาดการณ์ GDP ของจีนอาจขยายตัว 2.5% ในปี 2567 ต่อเนื่องจาก 2566 และฟื้นตัวจากช่วงปี 2565 ที่ GDP ติดลบ 3.7%. หากรัฐบาลจีนมีการกระตุ้นเศษฐกิจให้ดีขึ้น ตลาดฮ่องกงมีแนวโน้มได้รับผลเชิงบวกตามไปด้วย
เศรษฐกิจญี่ปุ่น
GDP ญี่ปุ่น โตสูงกว่าคาดการณ์ในไตรมาส 3 ปี 2567 ขยายตัว 1.2% มากกว่าตัวเลขประมาณการที่ 0.9% แสดงถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การเติบโตของ GDP ญี่ปุ่นในปี 2568 จะอยู่ที่ 1.1% ถือเป็นการขยายตัวของเศรษฐกิจ 4 ปีติดต่อกันตั้งแต่ปี 2563 นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงเดือนมกราคม 2568 พยุงไม่ให้เงินเยนอ่อนค่าลงไปมากกว่านี้ เพราะอาจกระทบต่อราคาสินค้านำเข้าภายในประเทศ
มุมมองภาพรวมเศษฐกิจ ญี่ปุ่น ยังมีความผันผวนที่มาก เนื่องจากการเมืองภายหลังมีความไม่แน่นอน เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวและเติบโตน้อยลงเมื่อเทียบกับในอดีต
เศรษฐกิจเวียดนาม
ตราวุทธิ์ ให้ข้อมูลว่า นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการเติบโตของ GDP เวียดนามในปี 2567 – 2568 อยู่ที่ 6.5% ขยายตัวทุกปีตั้งแต่ 2553 และแม้จะเจอวิกฤติ Covid-19 โดยมีมูลค่าการส่งออกของเวียดนาม 11 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 3.6 แสนล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของ 2566 ถึง 14.4%
ขณะที่ Foreign Direct Investment ยังคงเพิ่มขึ้น โดยในปี 2567 นี้การลงทุนโดยตรงมูลค่ารวม 2.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้ตลาดหุ้นเวียดนามอาจถูกปรับไปเป็น Emerging Market ในปี 2568
โดยสรุปแล้ว มุมมองภาพรวมเศษฐกิจ เวียดนาม ยังคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประเด็นที่ว่ารัฐบาลจะสามารถผลักดันประเทศเข้าสู่การเป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ได้จริงหรือไม่
เศรษฐกิจยุโรป
คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) คาดว่าเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปจะเติบโต 1.5% ในปี 2568 ขยายตัวจากปีนี้ที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตเพียง 0.9% แต่ยังต่ำกว่า 2566 ที่เติบโตเพียง 0.8% ขณะที่นโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของ ประธานาธิบดีทรัมป์อาจกระทบรายได้ของบริษัทในยุโรปลดลงในอนาคต
ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อ EU ในปี 2567 อยู่ที่ 2.6% คาดการณ์ว่าจะลดลงเหลือ 2.4% ในปี 2568 และกลับสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% ในช่วงปี 2569
มุมมองภาพรวมเศษฐกิจ ยุโรป กำลังเผชิญความเสี่ยงจากการพึ่งพาอุตสาหกรรมเฉพาะทาง คาดการณ์ว่าจะเหลือเพียงบางอุตสาหกรรมที่สามารถไปได้ เช่นการท่องเที่ยวและสินค้ากลุ่ม luxury ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับคุณค่า (Value) ย่างไรก็ตาม สินค้าในกลุ่มแมสอาจเผชิญความท้าทายในการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น
ปัญหาของนักลงทุนส่วนมาก ไม่รู้ปีต่อไป จะลงทุนประเทศไหนดี คุณตราวุทธิ์ เล่าว่าปีนี้มีการเปิดตัว Jitta Ranking Alpha ทางเลือกใหม่สำหรับนักลงทุนยุคดิจิทัล ซึ่งเป็นการที่ AI วิเคราะห์ตลาดหุ้นและคัดเลือกหุ้นที่มีโอกาสทำกำไรสูงสุดจากหลากหลายประเทศ โดยเน้นการลงทุนในหุ้นที่ “ราคาถูกและมีมูลค่าจริง”
จุดเด่นของ Jitta Ranking Alpha
สำหรับจุดเด่นของ Jitta Ranking Alpha คือใช้ AI เลือกลงทุนหุ้นประเทศที่มีโอกาสกำไรสูงสุด รีวิวและสวิตช์ไปประเทศที่ดีที่สุดทุกปีอัตโนมัติ คิดค่าค่าธรรมเนียมต่ำและยุติธรรม และผลตอบแทนเฉลี่ย 20.71% ต่อปี ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนเริ่มต้น 2,000,000 บาท เพิ่มครั้งละ 50,000 บาท
กระบวนการปรับพอร์ต Jitta Ranking Alpha ประกอบไปด้วย
กระบวนการปรับพอร์ต Jitta Ranking Alpha ประกอบไปด้วย 1) AI วิเคราะห์หา ‘ตลาดหุ้นดีราคาถูก’ นำลงทุนที่สุดประจำปี 2) กระจายเงินซื้อหุ้น 20 ตัว ในสัดส่วนเท่า ๆ กัน 3) รีวิวและปรับพอร์ตหุ้นในพอร์ตทุก 3 เดือน และ 4) รีวิวและปรับเปลี่ยนตลาดหุ้นที่ลงทุนทุก 1 ปี
การคิดค่าธรรมเนียม Jitta Ranking Alpha
- ค่าบริหารจัดการ 0.5% เท่านั้น
- ค่าธรรมเนียมตามกำไร (Performance Fee) 10%
- ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามจริง เช่น ค่าคอมมิชชั่น (Commission) การซื้อขาย หรือค่าผู้รับฝากทรัพย์สิน (Custodian)
ตราวุทธิ์ สรุปว่า ตลาดหุ้นปี 2568 เต็มไปด้วยความท้าทายและโอกาสจากหลากหลายภูมิภาคทั่วโลก ทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงเติบโตแต่เผชิญความผันผวน จีนที่ปรับนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และเวียดนามที่ก้าวขึ้นมาเป็นตลาดที่น่าจับตามอง ในมุมมองของ จิตตะ เวลธ์ การลงทุนในยุคที่ข้อมูลหลากหลายอาจทำให้นักลงทุนสับสน การใช้เทคโนโลยี AI อย่าง Jitta Ranking Alpha ช่วยวิเคราะห์ตลาดหุ้นและเลือกหุ้นที่มีมูลค่าที่แท้จริงในราคาที่เหมาะสม ถือเป็นอีกเครื่องมือสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างผลตอบแทนระยะยาวในยุคที่เศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนแปลง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
OR ปฏิรูปดิจิทัล รีดพลังธุรกิจเดิม เพิ่มความพร้อม virtual bank
เจาะลึกอาชีพสาย Data เส้นทางไหนใช่สำหรับคุณในปี 2025?
“Data Steward” ผู้ดูแลข้อมูล หัวใจสำคัญของการบริหารจัดการข้อมูลในองค์กรยุคใหม่